รู้จักหมู่เลือด Rh- Negative
น้อย
เพิ่มเติม
- จำนวนโพสต์: 20
- ขอบคุณที่รับ: 5
10 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา #19
โดย ID 1000
หลายคนคงจะรู้แล้วว่าตัวเอง มีกรุ๊ปเลือดอะไร A , B , AB และ O แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ากรุ๊ปเลือดของตัวเองมี Rh+ หรือ Rh- ต่อท้ายหรือเปล่า
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติให้ข้อมูลว่า ทั่วไปคนเรามีหมู่เลือด 2 ระบบ คือ ระบบเอบีโอ (ABO System) และ ระบบอาร์เอช (Rh System) จำแนกตาม แอนติเจน (Antigen - สารที่เคลือบอยู่บนเม็ดเลือดแดง)
ในระบบ ABO จะแบ่งออกได้ 4 กรุ๊ปคือ A , B , AB และ O โดยที่ กรุ๊ป O พบมากสุด, A กับ B พบพอๆ กัน และ AB มีน้อยที่สุด
ในระบบ Rh จะแบ่งเป็นสองพวก
1. +ve หรือ Rh+ve คือ พวกที่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลือดแดง พบมากในคนไทยเกือบทั้งหมด
2. -ve หรือ Rh-ve คือ พวกที่ไม่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลือดแดง พบน้อยมากในคนไทยแค่ 0.3% บางครั้งเรียกว่า ผู้มีโลหิตหมู่พิเศษ จะพบมากขึ้นในชาวไทยซิกข์ อินเดีย หรือชาวต่างชาติ
แต่คนทั่วไปเข้าใจว่า พอรู้กรุ๊ปเลือดตัวเองว่าเป็น A , B , AB และ O แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่บนพื้นผิวของเม็ดเลือดแดงเดียวกัน ยังมีสาร C, D และ E ที่เป็นตัวกำหนดหมู่เลือดในระบบอาร์เอช ซึ่งมีอยู่ 2 หมู่คือ Rh+ (Rh + Positive) และ Rh- (Rh - Negative)
ในคนไทยส่วนใหญ่ 99.7 เปอร์เซ็นต์ ค่า Rh+ ขณะที่ค่า Rh - มีเพียง 0.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงเรียก หมู่โลหิต Rh-เป็นหมู่เลือดพิเศษ ซึ่งอันตรายมากหากเกิดอุบัติเหตุ เพราะจะหาได้ยากมาก มันจึงมีความสำคัญมากในบ้านเรา
การให้ และการรับเลือดในหมู่เลือด
คนเลือดกรุ๊ป Rh-ve ต้องรับจาก -Rh-ve เท่านั้น (หากคนเลือดกรุ๊ป Rh-ve รับเลือดจาก Rh+ve อาการข้างเคียงจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในครั้งถัดๆไป)
คนเลือดกรุ๊ป O รับได้จาก O เท่านั้น แต่ให้กับกรุ๊ปอื่นได้ทุกกรุ๊ป
คนเลือดกรุ๊ป AB รับได้จากทุกกรุป แต่ให้คนอื่นได้เฉพาะคนที่มีกรุ๊ป AB
คนเลือดกรุ๊ป A รับจาก A,O แต่ให้ได้กับ A,AB
คนเลือดกรุ๊ป B รับได้จาก B,O แต่ให้ได้กับ B,AB
ถ้าเกิดกรณีฉุกเฉิน ผู้ป่วยต้องการ Rh- ในจำนวนมากเพราะว่ากำลังตกเลือดอย่างหนัก ก็มีวิธีแก้คือให้ Rh+ เข้าไปก่อน พอผู้ป่วยดีขึ้น เลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ผ่าตัดเย็บแผลแล้ว ค่อยเอา Rh- ที่มีไม่มากนักใส่เข้าไปตบท้าย เพราะ Rh+ที่ใส่เข้าไปในตอนแรกมันไปหล่อเลี้ยง แต่หลังจากนั้นมันจะออกมาเพราะตกเลือด
แต่การที่จะให้ Rh+ กับผู้ป่วยที่เป็น Rh- นั้น ทำได้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น เพราะว่าร่างกายของผู้ป่วยเป็นเนกาทีฟ พอรับเอาเลือดโพสิทีฟเข้าไป มันจะมีการสร้างแอนตี้บอดี้ ทำให้เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย ถ้าให้ครั้งต่อไปอาจทำลายจนถึงขั้นตายได้
หมู่เลือด Rh หรือ Rh แฟกเตอร์ ( Rh blood group or Rh factor )
1. หมู่เลือด Rh เป็นหมู่เลือดที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงเวลาถ่ายเลือด
2. คนไทยมีหมู่เลือด Rh+ เกือบ100% ส่วนหมู่เลือด Rh- พบน้อยมากประมาณ 1 ใน 500 คนเท่านั้น
3. หมู่เลือด Rh+ หมายถึง เลือดที่เม็ดเลือดแดงมีแอนติเจน D อยู่ แต่ไม่มีแอนติบอดี้ในน้ำเลือด
4. หมู่เลือด Rh- หมายถึง เลือดที่เม็ดเลือดแดงไม่มีแอนติเจน D และในน้ำเลือดก็ไม่มีแอนติบอดี้ด้วย แต่สามารถสร้างแอนติบอดี้ได้เมื่อได้รับแอนติเจน D
ดังนั้นในการถ่ายเลือดให้ผู้รับ หากผู้ให้เป็นหมู่เลือด Rh+ และผู้รับเป็นหมู่เลือด Rh- ในครั้งแรกผู้รับจะไม่เป็นอะไร เนื่องจากแอนติบอดี้ ที่เกิดขึ้นยังมีน้อย
แต่ถ้าให้เลือดครั้งที่ 2 ผู้ให้เป็นหมู่เลือด Rh+ อีก จะเกิดอันตรายเนื่องจากแอนติเจน D จากผู้ให้จะกระตุ้นให้ผู้รับสร้างแอนติบอดี้ได้มาก และแอนติบอดี้ จะจับตัวกับแอนติเจน D ที่ผิวเม็ดเลือดทำให้ตกตะกอนเป็นอันตรายถึงตายได้
5. ชายมีหมู่เลือด Rh+ แต่งงานกับหญิงมีหมู่เลือด Rh- ลูกจะมีหมู่เลือด Rh+ เนื่องจาก Rh+ เป็นลักษณะเด่น
ลูกคนแรกจะปลอดภัยเนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงของลูกพลัดหลงไปในระบบเลือดของแม่ผ่านทางรก กระตุ้นให้แม่สร้างแอนติบอดี้ต่อต้านเม็ดเลือดของลูกขึ้นมา แต่ในปริมาณน้อยและช้า
แต่ถ้าท้องถัดไป ถ้าลูกเป็น Rh- ก็จะไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถ้าลูกคนที่สองเป็น Rh+ อีก โอกาสเสี่ยงสูงมากในการเกิดโรคแทกซ้อน เช่น ภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง บางรายอาจถึงขั้นตาย
เพราะลูกคนต่อไปจะได้รับอันตรายจากแอนติบอดี้ของแม่ เนื่องจากแม่สร้างแอนติบอดี้ได้มาก เมื่อเลือดแม่ส่งอาหารเข้าไปเลี้ยงทารกโดยผ่านทางรก แอนติบอดี้ของแม่จะทำปฏิกิริยารวมตัวกับแอนติเจน ที่ผิวเม็ดเลือดแดงของลูก ทำให้เลือดลูกตกตะกอน และลูกจะตายก่อนเกิด โรคนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า อีรีโทรบลาสโทซิสฟีทาลิส ( erythroblastosisfetalis )
ดังนั้นถ้ารู้ว่าตัวเองมีกรุ๊ป Rh- แล้วเกิดตั้งท้อง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเตรียมป้องกันแต่เนิ่นๆ
แต่ที่เป็นปัญหาอยู่ในตอนนี้ จำนวนผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษทั่วประเทศรวมกันไม่ถึง 6,000 คน แบ่งเป็นที่ศูนย์ในกรุงเทพฯ 2,898 คน และในต่างจังหวัดอีก 2,246 คนเท่านั้น
จึงอยากจะเชิญเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆทุกท่าน ที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน ไปร่วมกันบริจาคเลือดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วถ้าคุณมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ ชาวพวกเขาไปด้วยจะดีมาก เพราะกลุ่มคนเหล่านี้โอกาสจะมี Rh- ค่อนข้างมาก และถ้าใครยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็น Rh+ หรือ Rh- เพียงแค่ไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทย คุณก็จะได้รู้ทันทีว่ามีหมู่เลือดพิเศษหรือเปล่า
สามารถติดต่อชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่เลือดพิเศษได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ โทร 0-2252-1637, 0-2263-9600 ต่อ 1770, 1752, 1753 หรือ www.rh-negative.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นสพ.กรุงเทพธุรกิจ เซคชั่น จุดประกาย
ittirak.com/show.php?No=1767
bangkokhealth.com/consult_htdoc/Question.asp?GID=16795
COM_KUNENA_MESSAGE_CREATED_NEW
หลายคนคงจะรู้แล้วว่าตัวเอง มีกรุ๊ปเลือดอะไร A , B , AB และ O แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ากรุ๊ปเลือดของตัวเองมี Rh+ หรือ Rh- ต่อท้ายหรือเปล่า
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติให้ข้อมูลว่า ทั่วไปคนเรามีหมู่เลือด 2 ระบบ คือ ระบบเอบีโอ (ABO System) และ ระบบอาร์เอช (Rh System) จำแนกตาม แอนติเจน (Antigen - สารที่เคลือบอยู่บนเม็ดเลือดแดง)
ในระบบ ABO จะแบ่งออกได้ 4 กรุ๊ปคือ A , B , AB และ O โดยที่ กรุ๊ป O พบมากสุด, A กับ B พบพอๆ กัน และ AB มีน้อยที่สุด
ในระบบ Rh จะแบ่งเป็นสองพวก
1. +ve หรือ Rh+ve คือ พวกที่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลือดแดง พบมากในคนไทยเกือบทั้งหมด
2. -ve หรือ Rh-ve คือ พวกที่ไม่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลือดแดง พบน้อยมากในคนไทยแค่ 0.3% บางครั้งเรียกว่า ผู้มีโลหิตหมู่พิเศษ จะพบมากขึ้นในชาวไทยซิกข์ อินเดีย หรือชาวต่างชาติ
แต่คนทั่วไปเข้าใจว่า พอรู้กรุ๊ปเลือดตัวเองว่าเป็น A , B , AB และ O แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่บนพื้นผิวของเม็ดเลือดแดงเดียวกัน ยังมีสาร C, D และ E ที่เป็นตัวกำหนดหมู่เลือดในระบบอาร์เอช ซึ่งมีอยู่ 2 หมู่คือ Rh+ (Rh + Positive) และ Rh- (Rh - Negative)
ในคนไทยส่วนใหญ่ 99.7 เปอร์เซ็นต์ ค่า Rh+ ขณะที่ค่า Rh - มีเพียง 0.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงเรียก หมู่โลหิต Rh-เป็นหมู่เลือดพิเศษ ซึ่งอันตรายมากหากเกิดอุบัติเหตุ เพราะจะหาได้ยากมาก มันจึงมีความสำคัญมากในบ้านเรา
การให้ และการรับเลือดในหมู่เลือด
คนเลือดกรุ๊ป Rh-ve ต้องรับจาก -Rh-ve เท่านั้น (หากคนเลือดกรุ๊ป Rh-ve รับเลือดจาก Rh+ve อาการข้างเคียงจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในครั้งถัดๆไป)
คนเลือดกรุ๊ป O รับได้จาก O เท่านั้น แต่ให้กับกรุ๊ปอื่นได้ทุกกรุ๊ป
คนเลือดกรุ๊ป AB รับได้จากทุกกรุป แต่ให้คนอื่นได้เฉพาะคนที่มีกรุ๊ป AB
คนเลือดกรุ๊ป A รับจาก A,O แต่ให้ได้กับ A,AB
คนเลือดกรุ๊ป B รับได้จาก B,O แต่ให้ได้กับ B,AB
ถ้าเกิดกรณีฉุกเฉิน ผู้ป่วยต้องการ Rh- ในจำนวนมากเพราะว่ากำลังตกเลือดอย่างหนัก ก็มีวิธีแก้คือให้ Rh+ เข้าไปก่อน พอผู้ป่วยดีขึ้น เลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ผ่าตัดเย็บแผลแล้ว ค่อยเอา Rh- ที่มีไม่มากนักใส่เข้าไปตบท้าย เพราะ Rh+ที่ใส่เข้าไปในตอนแรกมันไปหล่อเลี้ยง แต่หลังจากนั้นมันจะออกมาเพราะตกเลือด
แต่การที่จะให้ Rh+ กับผู้ป่วยที่เป็น Rh- นั้น ทำได้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น เพราะว่าร่างกายของผู้ป่วยเป็นเนกาทีฟ พอรับเอาเลือดโพสิทีฟเข้าไป มันจะมีการสร้างแอนตี้บอดี้ ทำให้เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย ถ้าให้ครั้งต่อไปอาจทำลายจนถึงขั้นตายได้
หมู่เลือด Rh หรือ Rh แฟกเตอร์ ( Rh blood group or Rh factor )
1. หมู่เลือด Rh เป็นหมู่เลือดที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงเวลาถ่ายเลือด
2. คนไทยมีหมู่เลือด Rh+ เกือบ100% ส่วนหมู่เลือด Rh- พบน้อยมากประมาณ 1 ใน 500 คนเท่านั้น
3. หมู่เลือด Rh+ หมายถึง เลือดที่เม็ดเลือดแดงมีแอนติเจน D อยู่ แต่ไม่มีแอนติบอดี้ในน้ำเลือด
4. หมู่เลือด Rh- หมายถึง เลือดที่เม็ดเลือดแดงไม่มีแอนติเจน D และในน้ำเลือดก็ไม่มีแอนติบอดี้ด้วย แต่สามารถสร้างแอนติบอดี้ได้เมื่อได้รับแอนติเจน D
ดังนั้นในการถ่ายเลือดให้ผู้รับ หากผู้ให้เป็นหมู่เลือด Rh+ และผู้รับเป็นหมู่เลือด Rh- ในครั้งแรกผู้รับจะไม่เป็นอะไร เนื่องจากแอนติบอดี้ ที่เกิดขึ้นยังมีน้อย
แต่ถ้าให้เลือดครั้งที่ 2 ผู้ให้เป็นหมู่เลือด Rh+ อีก จะเกิดอันตรายเนื่องจากแอนติเจน D จากผู้ให้จะกระตุ้นให้ผู้รับสร้างแอนติบอดี้ได้มาก และแอนติบอดี้ จะจับตัวกับแอนติเจน D ที่ผิวเม็ดเลือดทำให้ตกตะกอนเป็นอันตรายถึงตายได้
5. ชายมีหมู่เลือด Rh+ แต่งงานกับหญิงมีหมู่เลือด Rh- ลูกจะมีหมู่เลือด Rh+ เนื่องจาก Rh+ เป็นลักษณะเด่น
ลูกคนแรกจะปลอดภัยเนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงของลูกพลัดหลงไปในระบบเลือดของแม่ผ่านทางรก กระตุ้นให้แม่สร้างแอนติบอดี้ต่อต้านเม็ดเลือดของลูกขึ้นมา แต่ในปริมาณน้อยและช้า
แต่ถ้าท้องถัดไป ถ้าลูกเป็น Rh- ก็จะไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถ้าลูกคนที่สองเป็น Rh+ อีก โอกาสเสี่ยงสูงมากในการเกิดโรคแทกซ้อน เช่น ภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง บางรายอาจถึงขั้นตาย
เพราะลูกคนต่อไปจะได้รับอันตรายจากแอนติบอดี้ของแม่ เนื่องจากแม่สร้างแอนติบอดี้ได้มาก เมื่อเลือดแม่ส่งอาหารเข้าไปเลี้ยงทารกโดยผ่านทางรก แอนติบอดี้ของแม่จะทำปฏิกิริยารวมตัวกับแอนติเจน ที่ผิวเม็ดเลือดแดงของลูก ทำให้เลือดลูกตกตะกอน และลูกจะตายก่อนเกิด โรคนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า อีรีโทรบลาสโทซิสฟีทาลิส ( erythroblastosisfetalis )
ดังนั้นถ้ารู้ว่าตัวเองมีกรุ๊ป Rh- แล้วเกิดตั้งท้อง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเตรียมป้องกันแต่เนิ่นๆ
แต่ที่เป็นปัญหาอยู่ในตอนนี้ จำนวนผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษทั่วประเทศรวมกันไม่ถึง 6,000 คน แบ่งเป็นที่ศูนย์ในกรุงเทพฯ 2,898 คน และในต่างจังหวัดอีก 2,246 คนเท่านั้น
จึงอยากจะเชิญเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆทุกท่าน ที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน ไปร่วมกันบริจาคเลือดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วถ้าคุณมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ ชาวพวกเขาไปด้วยจะดีมาก เพราะกลุ่มคนเหล่านี้โอกาสจะมี Rh- ค่อนข้างมาก และถ้าใครยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็น Rh+ หรือ Rh- เพียงแค่ไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทย คุณก็จะได้รู้ทันทีว่ามีหมู่เลือดพิเศษหรือเปล่า
สามารถติดต่อชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่เลือดพิเศษได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ โทร 0-2252-1637, 0-2263-9600 ต่อ 1770, 1752, 1753 หรือ www.rh-negative.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นสพ.กรุงเทพธุรกิจ เซคชั่น จุดประกาย
ittirak.com/show.php?No=1767
bangkokhealth.com/consult_htdoc/Question.asp?GID=16795
10 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา #21
โดย ID 999
COM_KUNENA_MESSAGE_REPLIED_NEW
ความมหัศจรรย์ที่แตกต่างกันของกรุ๊ปเลือด
กรุ๊ปเลือดเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดถูกกำหนดมาโดยพันธุกรรม เลือดเป็นสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเราทุกคน กรุ๊ปเลือดหรือหมู่เลือด เป็นเพียงการจำแนกเลือดออกเป็นหมวดหมู่ เลือดแต่ละกรุ๊ปมีความแตกต่างกัน เช่นในกรณีที่ต้องประสบอุบัติเหตุ หรือต้องการเลือดเพื่อช่วยชีวิต ก็ต้องให้เลือดในกรุ๊ปเดียวกันหรือเป็นกรุ๊ป ที่สามารถรับได้ กรุ๊ปเลือดที่ใช้แบ่งแยกความแตกต่างกันของแต่ละกรุ๊ปเลือด แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่ม A, B, AB และ O
ในแต่ละกรุ๊ปเลือดยังบอกถึงความเป็นตัวตน โดยจำแนกตามนิสัยได้ดังนี้
เลือดกรุ๊ป A
บุคคลที่เลือดกรุ๊ป A มักจะเป็นคนที่มีคำพูดเชือดเฉือนหัวใจได้ตลอดเวลา ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ซุ่มซ่าม หากมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วจะดูน่ากลัว เป็นของที่แข็งๆ ชอบอยู่ในกฎระเบียบ เป็นคนเจ้าหลักการ เป็นคนที่ชอบความมั่นคง ทำอะไรมักชักช้า เป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง
เลือดกรุ๊ป B
บุคคลที่มีเลือดกรุ๊ป B เป็นบุคคลที่มีความสามารถหลายอย่าง แต่ไม่ค่อยมีความชำนาญในด้านด้านหนึ่งโดยเฉพาะ เป็นคนที่เข้าสังคมเก่ง เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง มีระเบียบแบบแผนของตัวเอง ชอบอิสระ หงุดหงิดง่าย เป็นคนที่มีความจำดี ประเภทโกรธง่ายหายเร็ว
เลือดกรุ๊ป O
เป็นบุคคลที่เข้ากับสถานการณ์ได้ดีที่สุด เป็นคนสนุกสนาน อารมณ์ดี มักชอบแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ทานจุ๊บทานจิ๊บเก่ง มีเพื่อนฝูงเยอะแยะ จะให้ทำอะไรก็ชอบให้กระตุ้นจึงทำได้ดี ไม่ชอบนินทาลับหลัง เป็นคนชอบเปิดประเด็น เอาตัวรอดได้เก่งทีเดียว
เลือดกรุ๊ป AB
เป็นบุคคลที่พอใจในความเป็นตัวของตัวอง มีเพื่อนฝูงเยอะแต่ก็เลือกที่จะสนิทสนมเป็นบางคน มีความคิดที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น จนลืมเรื่องของตัวเอง ชอบที่จะอยู่กับความเป็นจริง รู้ว่าใครที่ชอบหลอกลวง เป็นคนที่ดื้อ หัวแข็งพอสมควร เชื่อมั่นในตนเอง เป็นนักเจรจาต่อรอง ทำอะไรทำจริง
.................................................
กรุ๊ปเลือดเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดถูกกำหนดมาโดยพันธุกรรม เลือดเป็นสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเราทุกคน กรุ๊ปเลือดหรือหมู่เลือด เป็นเพียงการจำแนกเลือดออกเป็นหมวดหมู่ เลือดแต่ละกรุ๊ปมีความแตกต่างกัน เช่นในกรณีที่ต้องประสบอุบัติเหตุ หรือต้องการเลือดเพื่อช่วยชีวิต ก็ต้องให้เลือดในกรุ๊ปเดียวกันหรือเป็นกรุ๊ป ที่สามารถรับได้ กรุ๊ปเลือดที่ใช้แบ่งแยกความแตกต่างกันของแต่ละกรุ๊ปเลือด แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่ม A, B, AB และ O
ในแต่ละกรุ๊ปเลือดยังบอกถึงความเป็นตัวตน โดยจำแนกตามนิสัยได้ดังนี้
เลือดกรุ๊ป A
บุคคลที่เลือดกรุ๊ป A มักจะเป็นคนที่มีคำพูดเชือดเฉือนหัวใจได้ตลอดเวลา ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ซุ่มซ่าม หากมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วจะดูน่ากลัว เป็นของที่แข็งๆ ชอบอยู่ในกฎระเบียบ เป็นคนเจ้าหลักการ เป็นคนที่ชอบความมั่นคง ทำอะไรมักชักช้า เป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง
เลือดกรุ๊ป B
บุคคลที่มีเลือดกรุ๊ป B เป็นบุคคลที่มีความสามารถหลายอย่าง แต่ไม่ค่อยมีความชำนาญในด้านด้านหนึ่งโดยเฉพาะ เป็นคนที่เข้าสังคมเก่ง เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง มีระเบียบแบบแผนของตัวเอง ชอบอิสระ หงุดหงิดง่าย เป็นคนที่มีความจำดี ประเภทโกรธง่ายหายเร็ว
เลือดกรุ๊ป O
เป็นบุคคลที่เข้ากับสถานการณ์ได้ดีที่สุด เป็นคนสนุกสนาน อารมณ์ดี มักชอบแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ทานจุ๊บทานจิ๊บเก่ง มีเพื่อนฝูงเยอะแยะ จะให้ทำอะไรก็ชอบให้กระตุ้นจึงทำได้ดี ไม่ชอบนินทาลับหลัง เป็นคนชอบเปิดประเด็น เอาตัวรอดได้เก่งทีเดียว
เลือดกรุ๊ป AB
เป็นบุคคลที่พอใจในความเป็นตัวของตัวอง มีเพื่อนฝูงเยอะแต่ก็เลือกที่จะสนิทสนมเป็นบางคน มีความคิดที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น จนลืมเรื่องของตัวเอง ชอบที่จะอยู่กับความเป็นจริง รู้ว่าใครที่ชอบหลอกลวง เป็นคนที่ดื้อ หัวแข็งพอสมควร เชื่อมั่นในตนเอง เป็นนักเจรจาต่อรอง ทำอะไรทำจริง
.................................................
10 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา #22
โดย ID 999
COM_KUNENA_MESSAGE_REPLIED_NEW
สาระดีดี
ตารางการออกำลังตามกรุ๊ปเลือด
“การออกกำลังกายก็เหมือนกับการรับประทานอาหาร ร่างกายต้องการอาหารแบบนี้ ระบบย่อยแบบนี้ การออกกำลังก็ต้องเป็นไปตามที่ร่างกายต้องการ กรุ๊ปเอรับประทานอาหารเบาๆ เช่น ผัก ปลา ก็ต้องออกกำลังกายแบบผ่อนคลายสบายอารมณ์ จะเป็นพวกโยคะ ตีกอล์ฟ ยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายแบบเดินไปเรื่อยๆ ไม่เหมาะที่จะออกกำลังกายหักโหมเหมือนกรุ๊ปโอ ซึ่งรับประทานเนื้อสัตว์ สภาพร่างกายต้องการออกกำลังกายที่รุนแรงและใช้พลังงานมาก เพื่อกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วและแรง ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดต่อกระบวนการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายสดชื่น”
กรุ๊ปเลือด เอบี
ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดนี้ สลับออกกำลังกายได้ทั้งหนักและเบา เช่น เดิน หรือยกน้ำหนักจะช่วยในการสร้างเสริมกล้ามเนื้อและกระดูก ส่วนการวิ่งและว่ายน้ำจะเป็นผลดีต่อการหมุนเวียนของระบบหายใจ ดังนั้นการออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ…
ประเภทการออกกำลังกาย
รำมวยจีน 30-45 นาที
โยคะ 30 นาที
อาคิโด 60 นาที
กอล์ฟ 60 นาที
ขี่จักรยาน 60 นาที
ว่ายน้ำ 30 นาที
เต้นรำ 30-45 นาที
เดินเร็ว 20-40 นาที
ปืนเขา 45-60 นาที
เต้นแอโรบิกเบาๆ 30-45 นาที
ยืดกล้ามเนื้อ 15 นาที
กรุ๊ปเลือด เอ
คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหนักจะทำให้เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย อีกทั้งมีส่วนทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง อาจเจ็บป่วยได้ง่าย ควรออกกำลังกายดังนี้
ประเภทการออกกำลังกาย
รำมวยจีน 30-45 นาที
โยคะ 30 นาที
ศิลปะการป้องกันตัว 60 นาที
กอล์ฟ 60 นาที
เดินเร็ว 20-40 นาที
ว่ายน้ำ 30 นาที
เต้นรำ 30-45 นาที
เต้นแอโรบิกเบาๆ 30-45 นาที
ยืดกล้ามเนื้อ 15 นาที
กรุ๊ปเลือด บี
สำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดนี้ สามารถเลือกวิธีออกกำลังกายได้หลากหลายแนว แต่ต้องไม่หักโหมมากนัก อาจจะวิ่ง เดินสายพาน วิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ หรือเดินเบาๆ หรือจะเลือกเต้นแอโรบิกได้แต่ต้องไม่หนักเกินไป การออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ….
ประเภทการออกกำลังกาย
เต้นแอโรบิก 45-60 นาที
เทนนิส 45-60 นาที
ศิลปะการป้องกันตัว 30-60 นาที
ปีนเขา 30-60 นาที
ขี่จักรยาน 45-60 นาที
ว่ายน้ำ 30-45 นาที
เดินเร็ว 30-60 นาที
วิ่ง 30-45 นาที
ยกน้ำหนัก 30-45 นาที
กอล์ฟ 60 นาที
รำมวยจีน 45 นาที
โยคะ 45 นาที
กรุ๊ปเลือด โอ
ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดนี้ ควรออกกำลังกายที่ออกแรงเต็มที่ จะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า กรุ๊ปนี้มีความเป็นนักกีฬาสูง ประเภทของการออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ…
ประเภทการออกกำลังกาย
เต้นแอโรบิก 40-60 นาที
ว่ายน้ำ 30-45 นาที
วิ่ง 30 นาที
ยกน้ำหนัก 30 นาที
เดินเร็วบนเครื่อง 30 นาที
ปีนบันได 20-30 นาที
ศิลปะการป้องกันตัว 60 นาที
กีฬาที่มีการปะทะ 60 นาที
ขี่จักรยาน 30 นาที
เดินเร็ว 30-40 นาที
เต้นรำ 40-60 นาที
โรลเลอร์ สเกต 30 นาที
ขอบคุณข้อมูลจาก www.oknation.net/blog/print.php?id=904179
ตารางการออกำลังตามกรุ๊ปเลือด
“การออกกำลังกายก็เหมือนกับการรับประทานอาหาร ร่างกายต้องการอาหารแบบนี้ ระบบย่อยแบบนี้ การออกกำลังก็ต้องเป็นไปตามที่ร่างกายต้องการ กรุ๊ปเอรับประทานอาหารเบาๆ เช่น ผัก ปลา ก็ต้องออกกำลังกายแบบผ่อนคลายสบายอารมณ์ จะเป็นพวกโยคะ ตีกอล์ฟ ยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายแบบเดินไปเรื่อยๆ ไม่เหมาะที่จะออกกำลังกายหักโหมเหมือนกรุ๊ปโอ ซึ่งรับประทานเนื้อสัตว์ สภาพร่างกายต้องการออกกำลังกายที่รุนแรงและใช้พลังงานมาก เพื่อกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วและแรง ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดต่อกระบวนการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายสดชื่น”
กรุ๊ปเลือด เอบี
ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดนี้ สลับออกกำลังกายได้ทั้งหนักและเบา เช่น เดิน หรือยกน้ำหนักจะช่วยในการสร้างเสริมกล้ามเนื้อและกระดูก ส่วนการวิ่งและว่ายน้ำจะเป็นผลดีต่อการหมุนเวียนของระบบหายใจ ดังนั้นการออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ…
ประเภทการออกกำลังกาย
รำมวยจีน 30-45 นาที
โยคะ 30 นาที
อาคิโด 60 นาที
กอล์ฟ 60 นาที
ขี่จักรยาน 60 นาที
ว่ายน้ำ 30 นาที
เต้นรำ 30-45 นาที
เดินเร็ว 20-40 นาที
ปืนเขา 45-60 นาที
เต้นแอโรบิกเบาๆ 30-45 นาที
ยืดกล้ามเนื้อ 15 นาที
กรุ๊ปเลือด เอ
คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหนักจะทำให้เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย อีกทั้งมีส่วนทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง อาจเจ็บป่วยได้ง่าย ควรออกกำลังกายดังนี้
ประเภทการออกกำลังกาย
รำมวยจีน 30-45 นาที
โยคะ 30 นาที
ศิลปะการป้องกันตัว 60 นาที
กอล์ฟ 60 นาที
เดินเร็ว 20-40 นาที
ว่ายน้ำ 30 นาที
เต้นรำ 30-45 นาที
เต้นแอโรบิกเบาๆ 30-45 นาที
ยืดกล้ามเนื้อ 15 นาที
กรุ๊ปเลือด บี
สำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดนี้ สามารถเลือกวิธีออกกำลังกายได้หลากหลายแนว แต่ต้องไม่หักโหมมากนัก อาจจะวิ่ง เดินสายพาน วิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ หรือเดินเบาๆ หรือจะเลือกเต้นแอโรบิกได้แต่ต้องไม่หนักเกินไป การออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ….
ประเภทการออกกำลังกาย
เต้นแอโรบิก 45-60 นาที
เทนนิส 45-60 นาที
ศิลปะการป้องกันตัว 30-60 นาที
ปีนเขา 30-60 นาที
ขี่จักรยาน 45-60 นาที
ว่ายน้ำ 30-45 นาที
เดินเร็ว 30-60 นาที
วิ่ง 30-45 นาที
ยกน้ำหนัก 30-45 นาที
กอล์ฟ 60 นาที
รำมวยจีน 45 นาที
โยคะ 45 นาที
กรุ๊ปเลือด โอ
ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดนี้ ควรออกกำลังกายที่ออกแรงเต็มที่ จะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า กรุ๊ปนี้มีความเป็นนักกีฬาสูง ประเภทของการออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ…
ประเภทการออกกำลังกาย
เต้นแอโรบิก 40-60 นาที
ว่ายน้ำ 30-45 นาที
วิ่ง 30 นาที
ยกน้ำหนัก 30 นาที
เดินเร็วบนเครื่อง 30 นาที
ปีนบันได 20-30 นาที
ศิลปะการป้องกันตัว 60 นาที
กีฬาที่มีการปะทะ 60 นาที
ขี่จักรยาน 30 นาที
เดินเร็ว 30-40 นาที
เต้นรำ 40-60 นาที
โรลเลอร์ สเกต 30 นาที
ขอบคุณข้อมูลจาก www.oknation.net/blog/print.php?id=904179
10 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา - 10 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา #23
โดย ID 999
COM_KUNENA_MESSAGE_REPLIED_NEW
สัญญาณเตือนภัยจากร่างกาย
ร่างกายบอกอะไรเราได้บ้าง ร่างกายบอกเราว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องไป
รับการรักษา อาการที่แสดงออกมาทางร่างกาย อาทิเช่น
หายใจไม่สะดวก
อารมณ์เครียด ฉุนเฉียวง่าย
นอนไม่หลับ
ปวดศร๊ษะบ่อยๆ
อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
เป็นลมหน้ามืดบ่อย
ปวดเมื่อยตามตัวเป็นประจำ
ผิวพรรณหมองคล้ำ
มีแผลเรื้อรัง ไม่ยอมหาย
ท้องผูก เบื่ออาหาร ถ่ายไม่ออก
คัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นภุมแพ้
กลิ่นตัวแรง มีเหงื่อออกมาก
ผมร่วง คันศีรษะเป็นประจำ
พักผ่อนไม่เพียงพอ
มักมีอารมณ์โกรธ หงุดหงิดง่าย เป็นประจำ
เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้หากเกิดขึ้นเป็นประจำ ต่อเนื่อง อาจจะเกิดการสะสมมากเข้า
มากเข้า ก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอได้โดยไม่รู้ตัว เป็นบ่อเกิดแห่ง
โรคภัยไขเจ็บ
ห่วงสุขภาพ ดูแลสุขภาพ มารักษาสุขภาพกันค่ะ
ร่างกายบอกอะไรเราได้บ้าง ร่างกายบอกเราว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องไป
รับการรักษา อาการที่แสดงออกมาทางร่างกาย อาทิเช่น
หายใจไม่สะดวก
อารมณ์เครียด ฉุนเฉียวง่าย
นอนไม่หลับ
ปวดศร๊ษะบ่อยๆ
อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
เป็นลมหน้ามืดบ่อย
ปวดเมื่อยตามตัวเป็นประจำ
ผิวพรรณหมองคล้ำ
มีแผลเรื้อรัง ไม่ยอมหาย
ท้องผูก เบื่ออาหาร ถ่ายไม่ออก
คัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นภุมแพ้
กลิ่นตัวแรง มีเหงื่อออกมาก
ผมร่วง คันศีรษะเป็นประจำ
พักผ่อนไม่เพียงพอ
มักมีอารมณ์โกรธ หงุดหงิดง่าย เป็นประจำ
เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้หากเกิดขึ้นเป็นประจำ ต่อเนื่อง อาจจะเกิดการสะสมมากเข้า
มากเข้า ก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอได้โดยไม่รู้ตัว เป็นบ่อเกิดแห่ง
โรคภัยไขเจ็บ
ห่วงสุขภาพ ดูแลสุขภาพ มารักษาสุขภาพกันค่ะ
Last edit: 10 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา by ID 999.
10 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา #24
โดย ID 999
COM_KUNENA_MESSAGE_REPLIED_NEW
หลักการง่ายๆที่ทำให้มีสุขภาพดี
หลักการง่ายๆที่ทำให้มีสุขภาพดี มีอยู่ 4 อย่าง คือ
ข้อแรก รับประทานอาหารที่ดี
หมายถึง การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทานอาหารให้ได้สัดส่วนครบหมู่ของอาหาร และให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ถ้าเลือกทานอาหารให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือดได้ก็ดี
ข้อสอง บริหารอารมณ์และความเครียด
หมายถึง อารมณ์ กับความเครียดมีผลต่อสภาพทางจิตใจ และส่งผลไปยังร่างกาย เกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่าย เช่น ความวิตกกังวล อาการเศร้าหมอง ท้อแท้ ผิดหวัง นอนไม่หลับ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อร่างกายทำให้เกิด ท้องเสีย ท้องอืด ปวดศีรษะ และส่งผลไปยังอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายได้
ข้อสาม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หมายถึง ร่างกายต้องมีการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวอย่างพอเหมาะ จะทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล เมื่อร่างกายสมดุลก็จะทำให้สุขภาพแข็งแรง สุขภาพดีก็จะตามมา
ข้อสี่ การพักผ่อนให้เพียงพอ
หมายถึง การอดทนบ่อยๆ จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ซูบซีด ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยได้ง่าย ซึ่งจะมีผลทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง สุขภาพก็จะไม่ดีไปด้วย
เรามาห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วยการบริหารตัวเองให้เกิดสุขภาพดีกันค่ะ..
หลักการง่ายๆที่ทำให้มีสุขภาพดี มีอยู่ 4 อย่าง คือ
ข้อแรก รับประทานอาหารที่ดี
หมายถึง การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทานอาหารให้ได้สัดส่วนครบหมู่ของอาหาร และให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ถ้าเลือกทานอาหารให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือดได้ก็ดี
ข้อสอง บริหารอารมณ์และความเครียด
หมายถึง อารมณ์ กับความเครียดมีผลต่อสภาพทางจิตใจ และส่งผลไปยังร่างกาย เกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่าย เช่น ความวิตกกังวล อาการเศร้าหมอง ท้อแท้ ผิดหวัง นอนไม่หลับ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อร่างกายทำให้เกิด ท้องเสีย ท้องอืด ปวดศีรษะ และส่งผลไปยังอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายได้
ข้อสาม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หมายถึง ร่างกายต้องมีการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวอย่างพอเหมาะ จะทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล เมื่อร่างกายสมดุลก็จะทำให้สุขภาพแข็งแรง สุขภาพดีก็จะตามมา
ข้อสี่ การพักผ่อนให้เพียงพอ
หมายถึง การอดทนบ่อยๆ จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ซูบซีด ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยได้ง่าย ซึ่งจะมีผลทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง สุขภาพก็จะไม่ดีไปด้วย
เรามาห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วยการบริหารตัวเองให้เกิดสุขภาพดีกันค่ะ..
การเข้าถึงฟอรั่ม
- อนุญาตให้: การสร้างหัวข้อใหม่
- อนุญาตให้: ตอบ
- ไม่อนุญาต: to add Images.
- ไม่อนุญาต: to add Files.
- ไม่อนุญาต: การแก้ไขข้อความของคุณ
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 0.192 วินาที