การพบกันในสังสารวัฏของคนเรา..มันเหมือนกระทงลอยในน้ำแบบนั้นนั่นแหละบางทีก็ลอยมาเจอกันเกาะกันชั่วเวลาหนึ่ง แล้วก็ลอยแยกกันไป สักพัก บางทีก็ลอยกลับมาเจอกันได้อีก แล้วแต่กระแสน้ำจะพัดพา หรือแรงกระแทกจากกระทงใบอื่นๆ
สมัยก่อน เขานิยมเอาเงินใส่ในกระทง ลอยๆไปมีคนว่ายน้ำไปคอยหยิบเงินจากกระทง จนเทียนดับก็มี คนเราจะอยากอะไร นี่เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เราอยาก จะเป็นอย่างที่เราอยากไหม นั่นก็อีกเรื่อง..โลกนี้ ไม่ได้เป็นไปตามความอยาก ความพอใจของเราหรอกนะแต่โลกนี้เขาเป็นไปตามเหตุและปัจจัย
คนอื่นเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก เราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก ฉะนั้น ตัวเราก็ไม่ได้เป็นไปตามความอยาก ความชอบ ความพอใจ ฉันใด คนอื่นก็ไม่ได้เป็นไปตามความอยากความชอบและพอใจของเรา ฉันนั้นไม่ใช่ว่า อยากจะเป็นอิสระจากเขา อยากจะไม่ยึดเขา แล้วจะทำได้เลย ถ้าเหตุและปัจจัยมันเอื้อ ก็ทำได้ ถ้ามันไม่เอื้อ ก็ทำไม่ได้หรอก
ถ้าอยากปลดปล่อยตัวเองจากเขา เราน่ะต้องปลดปล่อยตัวเองจากความอยากของตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าอยากหลุด จะไม่หลุด เพราะยิ่งอยาก ก็คือยิ่งคิด ยิ่งคิด ก็ยิ่งปรุงแต่ง ยิ่งให้ค่า ยิ่งมีกิเลส กลับมาครอบจิตอีกที..พระพุทธเจ้าสอนให้ "รู้" นะครับ ไม่ใช่ให้อยากท่านบอกว่า หน้าที่ต่อทุกข์ คือการ "รู้" ไม่ใช่ "อยาก"
พวกเราเอาแต่ "อยาก" แต่ไม่ยอม "รู้" พอบอกว่า ให้รู้นะ แค่รู้ ก็ยังรู้ ด้วยความอยากจะหายทุกข์ อยากหลุด อยากวาง อีกนั่นแหละ ฉะนั้น จริงๆ มันไม่ได้ยากหรอก แต่มันง่าย ง่าย ง่ายจนมันยาก เพราะเราชอบคิดว่า แค่ "รู้" มันจะพออะไร มันต้องเยอะๆสิ
ไปลองดูนะ หัดรู้ทันจิตใจตัวเอง เหมือนเป็นคนอ่านหนังสือ เหมือนนั่งดูคนๆนึง เพื่อให้เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเขา ด้วยการ "ดู" หรือ "รู้" นั่นแหละ แล้วจะรู้ในวันหนึ่งในที่สุดว่า "เรา" น่ะ ไม่มี ตัวตนก็ไม่มีจริง เป็นแค่เปลือกที่จิตสร้างขึ้นจากความคิด โดยยึด กาย กับจิตไว้เป็นเรา
สนุกดีนะ เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตนจริงๆ อธิบายก็ได้แค่ความเข้าใจแบบคิดเอา ไปเรียนเถอะ แล้วจะรู้ว่า โลกนี้มีอะไรน่าสนใจ และสำคัญกว่าผู้ชายคนนึงที่เคยรักกัน แต่มันไม่รักเราแล้ว สุขจากคนอื่น สิ่งอื่น มันของหยาบ สุขจากภายใน จากใจเราเอง จากธรรมะ มันสุขละเอียด สุขแท้ เหนือความละเอียด ความหยาบ ก็มีนะ แต่มันข้ามขั้นเราไป
ที่มา..ธนาคารความสุข