ความเข้าใจที่ว่ายิ่งรับประทานวิตามินซีมากเท่าไหร่ยิ่งดี ถือเป็นความเชื่อที่อาจไม่ถูกต้องนัก
นพ.สรวิชญ์ สุบุญ หรือหมอก้อง ให้ความรู้ว่า การกินวิตามินซีแต่ละครั้ง ร่างกายเราสามารถดูดซึมได้ในปริมาณจำกัด เช่น หากกินครั้งละ 100 มก. ร่างกายจะดูดซึมได้เกือบ 100 % ครั้งละ 500 มก. ร่ายกายก็จะดูดซึมในปริมาณลดหลั่นลงมาที่ประมาณ 60% ส่วนที่เหลือจะถูกขับทิ้งออกไปผ่านทางไตโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย หากปริมาณที่เหลือมีมากอาจทำให้ระคายเคืองต่อไตระหว่างขับออกนอกร่างกายอีก ด้วย ดังนั้น การกินแบบที่ได้ผลดีที่สุดจึงไม่ใช่การกินทีละมากๆ อย่างที่เคยเข้าใจ แต่ควรเลือกกินในปริมาณที่น้อยลงและแบ่งเป็นหลายๆ ครั้งแทน เช่น หากต้องการให้ร่างกายได้รับวิตามินซี 1,000 มก. ควรแบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งละ 500 มก.จะคุ้มค่ามากกว่า
ความต้องการวิตามินซีขั้นต่ำในผู้ใหญ่โดยทั่วไป คือวันละ 60 มก. เด็กวันละ 30 มก. หญิงตั้งครรภ์หรือในนมบุตรประมาณวัน 100 มก. แต่สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่ต้องการประมาณ 125 มก.เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามควรพยายามรับประทานให้ได้วันละ 1,000 มก. เพื่อประโยชน์ด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระและผิวพรรณ แต่หากต้องการผลด้านการป้องกันหรือบรรเทาอาการหวัดภูมิแพ้ ควรกินเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 2,000-3,000 มก.
ส่วนประโยชน์อื่นๆ ของวิตามินซี ได้แก่ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ต่างๆ ได้แก่ เซลล์กระดูก สมอง และดวงตาถูกทำลาย ช่วยบำรุง สายตา กระดูก สมอง เวลาเป็นแผลก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งไม่ให้เซลล์เหงือกถูกทำลายได้ง่าย เป็นการป้องกันโรคลักปิดลักเปิด
สัญญาณที่บอกว่ากำลังเกิดอาการขาดวิตามินซีเข้าให้แล้ว ได้แก่ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีเลือดออกตามไรฟันเป็นหวัดง่ายและเป็นบ่อย และหากปล่อยให้ขาดวิตามินซีนานๆ ก็จะแสดงอาการออกทางกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และเส้นเลือด เช่น เจ็บกล้ามเนื้อ อ่อนแรง ผิวช้ำง่าย ปากแห้ง เหงือกบวม ฟันหลุดง่าย และถ้าเป็นแผลจะหายช้า
วิตามินซีมีมากในผักผลไม้ อาทิ ฝรั่ง ส้ม มะละกอ สตรอเบอร์รี่มะเขือเทศ และผักใบเขียว ทว่า มักเสื่อมสลายและถูกทำลายได้ง่าย หากผักผลไม้ไม่สดจริง หรือผ่านการหั่นล้าง ปรุงอาหาร ก็มีความเป็นไปได้สูง ที่ร่างกายจะได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ ผู้คนส่วนใหญ่จึงเลือกกินในรูปแบบวิตามินเสริม ไม่ว่าจะเป็นชนิดเม็ด ชนิดผง หรือแบบละลายน้ำ สามารถเลือกได้ตามสะดวก ไม่ได้มีผลต่อประสิทธิภาพ
คอลัมน์ 8HRS A DAY : M2F ฉบับวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557