พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำ

เขียนโดย 

ชีวประวัติสังเขป..พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
 

ชาติภูมิ

หลวงพ่อวัดปากน้ำ องค์ปฐมบรมครูแห่งวิชชาธรรมกายในยุคปัจจุบัน เดิมชื่อ สด นามสกุล มีแก้วน้อย ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2427 ตรงกับวันแรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก ฉศก จุลศักราช 1246 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ณ บ้านสองพี่น้อง ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่สองของนายเงินและนางสุดใจ มีแก้วน้อย มีพี่น้องร่วมมารดาบิดา 5 คน
 
การศึกษาเมื่อเยาว์วัย
ท่านเรียนหนังสือกับพระภิกษุน้าชายของท่าน ณ วัดสองพี่น้อง เมื่อพระภิกษุน้าชายลาสิกขาบทแล้ว ท่านก็ได้มาศึกษาอักษรสมัย ณ วัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ปรากฏว่าท่านเรียนได้ดีสมสมัย คือตั้งใจเรียนจริงๆ ไม่ยอมอยู่หลังใคร
 
การอาชีพ
เมื่อเสร็จการศึกษาแล้ว ออกจากวัดช่วยมารดาบิดาประกอบอาชีพเกี่ยวกับการค้าขาย โดยซื้อข้าวบรรทุกเรือล่องมาขายให้แก่โรงสีในกรุงเทพฯ บ้าง ที่นครชัยศรีบ้าง เมื่อสิ้นบุญบิดาแล้ว ได้รับหน้าที่ประกอบอาชีพสืบต่อมา เป็นคนรักงานและทำอะไรทำจริง ทั้งขยันขันแข็ง อาชีพการค้าจึงเจริญโดยลำดับ จนปรากฏในยุคนั้นว่า เป็นผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง

เมื่ออายุ 19 ปี ระหว่างที่ทำการค้าอยู่นั้น ความคิดอันประกอบด้วยความเบื่อหน่ายเกิดแก่ท่าน โดยเกิดธรรมสังเวชขึ้นในใจว่า "การ หาเงินเลี้ยงชีพนั้นลำบาก บิดาของเราก็หามาอย่างนี้ ต่างไม่มีเวลาว่างกันทั้งนั้น ถ้าใครไม่รีบหาให้มั่งมี ก็เป็นคนชั้นต่ำ ไม่มีใครนับหน้าถือตา เข้าหมู่เพื่อนบ้านก็อับอาย ไม่เทียมหน้าเขา บุรพชนต้นสกุลก็ทำมาอย่างนี้เหมือนกัน จนถึงบิดาเราและตัวเราในบัดนี้ ก็คงทำอยู่อย่างนี้ ก็บัดนี้บุรพชนทั้งหลายได้ตายไปหมดแล้ว แม้เราก็จักตายเหมือนกัน เราจะมัวแสวงหาทรัพย์อยู่ทำไม ตายแล้วเอาไปไม่ได้ บวชดีกว่า" เมื่อได้โอกาส ท่านได้จุดธูปเทียนบูชาพระ อธิษฐานว่า "ขออย่าได้ตายเสียก่อนเลย ขอให้ได้บวชก่อน เมื่อบวชแล้วจะไม่ลาสิกขา ขอบวชไปจนตลอดชีวิต" ท่านบอกว่าเริ่มอธิษฐานมาตั้งแต่อายุ 19 ปี หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อตกลงใจบวชไม่สึกแล้ว จิตคิดเป็นห่วงมารดาเกิดขึ้น จึงขะมักเขม้นทำงานสะสมทรัพย์ เพื่อให้มารดาเลี้ยงชีพไปจนตลอดชีวิต

อุปสมบท
เดือนกรกฎาคม 2449 ต้นเดือน 8 ขณะมีอายุย่างเข้า 22 ปี ท่านได้อุปสมบท ณ วัดสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี มีฉายาว่า จนฺทสโร

พระอาจารย์ดี วัดประตูศาล อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และพระอาจารย์โหน่ง อินทสุวณโณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ คู่สวดทั้งสองรูปอยู่วัดเดียวกัน คือวัดสองพี่น้อง

เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านเริ่มปฏิบัติสมถวิปัสสนากับองค์อนุสาวนาจารย์นับแต่วันบวช เมื่อบวชแล้วพอรุ่งขึ้นอีกวัน หลวงพ่อก็เริ่มลงมือปฏิบัติพระกรรมฐานต่อกับพระอาจารย์เนียม วัดน้อย อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ได้จำพรรษาอยู่วัดสองพี่น้อง 1 พรรษา หลังจากออกพรรษาที่วัดสองพี่น้องแล้ว หลวงพ่อก็ได้เข้าพำนักประจำอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพื่อแสวงหาความรู้ให้แตกฉานกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งในด้านปริยัติและปฏิบัติ

สิบปีผ่านไปนับแต่หลวงพ่อเริ่มบวช ท่านมีความรู้ภาษาบาลีแตกฉานพอที่จะอ่านมหาสติปัฏฐานสูตรในคัมภีร์บาลีได้สม ความตั้งใจแล้ว ท่านจึงวางธุระการศึกษาฝ่ายภาษาบาลีลง และใช้เวลากับวิปัสสนาธุระ เพื่อการเจริญพระกรรมฐานโดยเต็มที่

บรรลุธรรมกาย
ย่างเข้าพรรษาที่ 12 ของท่าน ประมาณปี พ.ศ.2460 เมื่อหลวงพ่อได้กำหนดใจที่จะปฏิบัติสมถวิปัสสนาอย่างเต็มที่แล้ว ท่านได้กราบลาเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม ธมฺมสโร) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ ไปจำพรรษาที่ 12 ณ วัดโบสถ์ (บน) บางคูเวียง ริมคลองบางกอกน้อย นนทบุรี อันเป็นสถานที่สงบวิเวก

ท่านได้อยู่ประจำ ณ พระอุโบสถวัดโบสถ์ บางคูเวียง และปฏิบัติธรรมตลอดเวลาที่อำนวย จากเช้าตลอดค่ำคืน ครั้นย่างกึ่งพรรษา ท่านก็ได้ตรึกนึกถึงความตั้งใจครั้งแรกเมื่อได้ขอบวชจนตลอดชีวิต เวลาก็ล่วงมาถึง 14 ปี บวชเป็นพรรษาที่ 12 แล้ว ท่านยังไม่บรรลุ ยังไม่เห็นธรรม ดังที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาท่านได้ทรงตรัสรู้และทรงเห็นเลย ท่านจึงเริ่มกำหนดใจว่า จะเจริญพระกรรมฐานโดยสุดกำลังในครั้งนี้ แม้จะตายระหว่างปฏิบัติพระกรรมฐานก็จะยอม ด้วยมีค่ามากกว่าตายก่อนบวช หรือไม่ได้ปฏิบัติภาวนาเลย

ท่านตั้งใจเด็ดขาดแล้วก็เข้าสู่พระอุโบสถวัดโบสถ์ บางคูเวียง แต่เย็น วันพระ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ตั้งสัจจาธิษฐานมั่นคงมอบกายถวายชีวิตเพื่อพระรัตนตรัยอันประเสริฐสุดว่า เมื่อนั่งลงแล้ว หากมิได้บรรลุธรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงเห็นทรงตรัสรู้แล้ว ก็จะไม่ขอลุกขึ้นจากที่อีกจนตลอดชีวิต เมื่อใจท่านตั้งมั่นแล้ว ก็เริ่มปรารภนั่ง และกราบทูลอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงโปรดประทานธรรมที่พระองค์ทรงเห็น ทรงตรัสรู้ แม้เพียงส่วนน้อยที่สุด ซึ่งแม้นหากการบรรลุธรรมนั้นแล้วจะเป็นโทษแก่พระศาสนา ก็ขออย่าได้ทรงประทานเถิด ท่านจะรับเป็นทนายแก้ต่างพระศาสนาต่อไปจนตลอดชีวิต

เมื่อได้อธิษฐานในยอมสละชีวิตเป็นพุทธบูชาแล้ว ท่านก็ขัดสมาธิเข้าที่นั่งเจริญภาวนาพระกรรมฐาน เวลาผ่านไปจนดึก ใจของท่านหยุดสงบนิ่ง ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ เข้ามารวมหยุดที่จุดเดียวกัน ณ ศูนย์กลางกาย ได้ส่วนพอดีแล้ว ท่านได้เห็น ดวงปฐมมรรค หรือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อัน เป็นดวงกลมโตใสบริสุทธิ์ ขนาดฟองไข่แดงของไก่ ที่ศูนย์กลางกาย ดวงยิ่งใสสว่างมากขึ้นและใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ สุกใสสว่างยิ่งนัก ได้เห็นดังนั้นแล้ว ท่านจำต้องตรึกว่า สมควรจะทำอย่างไรต่อไปอีก

ขณะนั้น ท่านได้มาถึงจุดแห่งการเริ่มค้นพบพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า และทางสายเอกสายเดียวสู่มรรคผลนิพพานแล้ว ในระหว่างที่ได้หยุดใจนิ่ง พิจารณาดวงปฐมมรรคนั้น ท่านใจบันดาลตรึกถึง มัชฌิมาปฏิปทาสายกลาง ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา ที่ศูนย์กลางกลมใสสว่างนั้นปรากฏมีจุดเล็กเรืองแสงสว่างไสวยิ่งกว่า ท่านจึงได้เลือกดำเนินตามทางสายกลางและทุ่มความรู้สึกทั้งหมดเข้าไว้ในจุด ศูนย์กลางดวงทันที จุดนั้นก็ขยายขึ้นมาแทนที่ดวงเดิมซึ่งหายไป ท่านจึงได้รวมความเห็น จำ คิด รู้ ดิ่งเข้าไปในกลางของกลางต่อไปอีก โดยอาการฉะนี้ ท่านก็ได้เห็นดวงเก่าหายไป มีดวงสุกใสยิ่งขึ้นหยุดจากศูนย์กลางกายนั้นขึ้นมาแทนที่ ประดุจฟองอากาศผุดจากน้ำขึ้นมาแทนที่กัน โดยต่อเนื่องไม่ขาดสายและยิ่งใสสว่างขึ้น

โดยการหยุดในหยุดและเข้ากลางของกลางนี้ ท่านก็ได้เห็นดวงต่างๆ และกายผุดขึ้นมาโดยต่อเนื่องกันคือเห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ และจึงเห็นกายมนุษย์ละเอียด ท่านเมื่อได้ทุ่มความรู้สึกเข้าไปในกลางของกลางต่อไปอีก ก็เห็นดวงทั้ง 6 และกายของกายที่ละเอียดยิ่งขึ้น ปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับในเบื้องต้นนั้นทั้ง 18 กาย ได้แก่ กายในภพสามนี้ 8 กาย คือ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม และกายอรูปพรหมละเอียด และกายที่พ้นภพสามหรือกายโลกุตตระ 10 กาย คือ กายธรรม กายธรรมละเอียด กายพระโสดา กายพระโสดาละเอียด กายพระสกทาคา กายพระสกทาคาละเอียด กายพระอนาคา กายพระอนาคาละเอียด กายพระอรหัต และกายพระอรหัตละเอียด

กายธรรม หรือ ธรรมกาย และกายโลกุตตระอื่นดังกล่าว ปรากฏขึ้นที่ศูนย์กลางกายของท่านนั้น เป็นองค์พระปฏิมาเกตุดอกบัวตูม ใสบริสุทธิ์ยิ่งกว่าอัญมณีใดๆ งดงามหาที่ติมิได้ กายโลกุตตระล้วนเป็นกายที่ละเอียดยิ่งนัก และพ้นจากอาณัติแห่งพระไตรลักษณ์ เป็นวิสังขารแห่งความสุขที่แท้จริง

ธรรมและของจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหลวงพ่อได้ค้นพบ ได้รู้ ได้เห็น และเป็นในคืนวันเพ็ญสำคัญนี้ลึกซึ้งถึงปานนี้ เกินวิสัยของบุคคลจะคาดคิดคะเน แม้ใครยังตรึกนึกคิดอยู่ก็เข้าไม่ถึง หลวงพ่อได้สอนไว้ในภายหลังว่า "ที่จะเข้าถึงต้องทำ ให้รู้ตรึก รู้นึก รู้คิดนั้น หยุดเป็นจุดเดียวกัน แต่พอหยุดก็ดับ แต่พอดับแล้วก็เกิด ถ้าไม่ดับแล้วไม่เกิด ตรองดูเถิด ท่านทั้งหลาย นี้เป็นจริง หัวต่อมีเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่ถูกส่วนดังนี้ก็ไม่มี ไม่เป็นเด็ดขาด"

การค้นพบได้รู้ได้เห็นได้เป็นพระสัทธรรมของท่านในคืนวันเพ็ญนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องแท้จริงให้หลวงพ่อปฏิบัติแสวงหาที่สุดแห่งธรรม ท่านตรึกใจดิ่งลึกลงไปที่ศูนย์กลางกายธรรมที่สุดละเอียดอยู่ตลอดเวลา นับแต่นั้นเป็นต้นมา โดยมิได้มีการถอยกลับและหยุดยั้งอีกเลย ท่านยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นทุกที

เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
กลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าครั้งนั้นเจ้าประคุณสมเด็จพระวัน รัต เผื่อน ติสสทัตตมหาเถระ วัดพระเชตุพนฯ พระอาจารย์องค์หนึ่งของท่าน ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นท่านเจ้าคุณพระศากยยุตติวงศ์ เจ้าคณะอำเภอภาษีเจริญ เล็งเห็นความเป็นผู้นำของหลวงพ่อ ซึ่งครั้งนั้นเป็นพระฐานานุกรมที่พระสมุห์สด จนฺทสโร เจ้าประคุณได้มอบหมายท่านให้จำต้องยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ ซึ่งเป็นพระอารามหลวงเก่าแก่แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และในขณะนั้นชำรุดทรุดโทรมมาก เป็นกึ่งวัดร้าง มีพระประจำวัดอยู่เพียงสิบสามรูป

ในปี พ.ศ.2464 ตรงกับ ร.ศ.140 เป็นปีที่ 12 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า พระครูสมุห์สด จนฺทสโรก็ได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสมณธรรมสมาทาน ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ด้วยความเป็นผู้นำอย่างเยี่ยมยอดและความอดทนอย่างยิ่งยวด หลวงพ่อก็ได้ทำนุบำรุงวัดปากน้ำภาษีเจริญขึ้นใหม่จนเป็นอารามหลวงที่สำคัญ และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง มีพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาที่อยู่ในความอุปการะของท่านที่วัดในระยะนั้นจำนวนเป็นร้อย เป็นพัน มีทั้งพระสงฆ์จากต่างประเทศ เช่นจากประเทศอังกฤษ มาบวชเรียนกับหลวงพ่อ สมจริงแล้วดังปณิธานของท่านที่ตั้งใจไว้ว่า "บรรพชิตที่ยังไม่มาขอให้มา ที่มาอยู่แล้ว ขอให้เป็นสุข"

ลุสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ในปี พ.ศ.2490 อันเป็นปีที่ 2 แห่งรัชกาล ท่านได้รับตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ ต่อมาในปี พ.ศ.2492 ได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระภาวนาโกศลเถร และอีกสองปีภายหลัง ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเสมอพระราชาคณะเปรียญ ถึงปี พ.ศ.2498 ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระมงคลราชมุนี ในปีฉลอง 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ.2500 ตรงกับ ร.ศ.176 เป็นปีที่ 12 แห่งรัชกาลปัจจุบัน ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพมีพระราชทินนามว่า พระมงคลเทพมุนี นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ธรรมปฏิบัติวิชชาธรรมกาย
วิชชาธรรมกาย ดังที่หลวงพ่อได้บรรลุ รู้ เห็น และเป็น นั้น ลึกซึ้ง คมกล้า ทางค่า ทรงคุณ และหิตานุหิตประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุด วิชชาธรรมกายนี้แม้นดำรงอยู่ครั้งพุทธกาลและสืบทอดกันมาอีกระยะหนึ่ง แต่ก็ว่างเว้นไป มิได้มีผู้สอนวิชชานี้อีกนับเป็นระยะเวลายาวนาน จวบจนถึงสมัยที่หลวงพ่อได้บรรลุและนำมาเผยแผ่สอนใหม่ ให้มีผู้เข้าถึง รู้ เห็น และเป็น สืบพระพุทธศาสนากันต่อๆ ไปอีก อย่างถูกต้องโดยสัมมาทิฏฐิ ตรงตามความเป็นจริงและสัมฤทธิ์ผลโดยกว้างขวาง ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติจนเห็นธรรมนั้นย่อมจักต้องเห็นพระพุทธเจ้า ด้วยว่าธรรมกายนั้นคือพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าคือธรรมกาย ย่อมเห็นธรรม ตรงตามพระพุทธพจน์ว่า "โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ - ดูกรวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม" และดังพระพุทธพจน์ว่า "ตถาคตสฺส วาเสฏฺฐ เอตํ ธมฺมกาโยติ วจนํ - ดูกรวาเสฏฐะ ธรรมกายนี้เป็นชื่อของตถาคต" วิชชาธรรมกายจึงเป็นหัวใจของการสอนและปฏิปทาที่หลวงพ่ออุทิศให้แก่พระพุทธ ศาสนาโดยสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ในวัตรปฏิบัติของท่านปรากฏเป็นจริยา

ท่านจะดูแลกำกับการเจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูงที่กระทำโดยต่อเนื่องนั้นอย่าง ใกล้ชิดมาก โดยอำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณประกอบกับเหตุปัจจัย ธรรมย่อมปราบอธรรมลงเสียได้ การกำจัดทุกข์ภัยไข้เจ็บ ของชนผู้สมาทานศีลอยู่ในธรรมย่อมจะพออยู่ในวิสัย การเจริญวิชชาธรรมกายนั้น จึงเป็นกิจเพื่อการปราบทุกข์เข็ญและยังสันติสุขให้งอกงามไพบูลย์จริง การประชุมกระแสจิตที่บริสุทธิ์อันแรงกล้าด้วยการเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้น สูง จึงกระทำเพื่อช่วยผดุงชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และทวยราษฎร์ในทศพิธราชธรรมอันบริสุทธิ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

การเจริญวิชชานี้ดำเนินไปต่อเนื่องเป็นที่น่าอัศจรรย์ แม้ในภาวะมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดตกลงมาลูกแล้วลูกเล่า เพื่อทำลายจุดยุทธศาสตร์ เช่น สะพานพุทธ บริเวณใกล้เคียงวัดปากน้ำ แต่หลวงพ่อและคณะศิษย์ผู้เจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูงมิได้ปลีกออกจากวัดเพื่อ หลบภัยนั้นเลย ท่านกลับยิ่งเด็ดเดี่ยวกวดขันบัญชาการเจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูงที่ห้องภาวนา ที่ท่านเรียกใช้คำง่ายๆ ว่า โรงงาน นั้น ให้เร็วและแรงขึ้น และประเทศชาติก็ผ่านพ้นมหาภัยสงครามนั้นมาได้ด้วยดี

หลวงพ่อของปวงชน
การสั่งสอนและสืบบวรพระพุทธศาสนาของหลวงพ่อนั้น ท่านอุทิศให้หมดด้วยทั้งกาย วาจา ใจ เราย่อมสัมผัสได้ถึงความใสบริสุทธิ์ของกระแสธรรมเทศนาและปฏิปทาของท่านนี้ เป็นกระแสแห่งความสงบ สุข ร่มเย็น อบอุ่น ทรงพลังลึกซึ้ง หยั่งเข้าถึงใจจากองค์พระสมณะ ผู้พึงกราบสักการบูชา

หลวงพ่อจะให้ความอุปการะแก่ผู้สมควรได้รับเสมอ ซึ่งท่านได้สอนถึงการอุปการะนี้ว่า "เรา เป็นลูกพระพุทธเจ้า เมื่อกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์แล้ว ย่อมมีสิทธิใช้มรดกของพระพุทธเจ้าได้ และใช้ได้จนตลอดชาติ ถ้าไม่บริสุทธิ์แล้ว แม้จะเอาไปใช้ก็ไม่ถาวรเท่าไร" ความใจดี มีเมตตากรุณาอันเป็นธรรมค้ำจุนโลก ดังที่ท่านเจริญโดยตลอดเวลา ซึ่งเห็นและสัมผัสโดยง่ายนั้นเป็นอัธยาศัยหนึ่งที่คนทั้งหลายบูชาท่านนัก

มรณภาพ
หลวงพ่อถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.2502 เวลา 15.00 น. ณ ตึกมงคลจันทสร เมื่อท่านมีอายุย่าง 75 โดยปี รวมพรรษาได้ 53 พรรษา กาลนั้นเปรียบเสมือนการพักชั่วครูของอมตบุรพาจารย์ และย่อมเป็นเครื่องมือเตือนจิตสะกิดใจแก่คนทั้งหลายผู้วันหนึ่งกาลกิริยาจะ มาถึง มิให้ประมาทและให้ขวนขวายทำหน้าที่ต่อตนเองและผู้อื่นในอริยมรรค คำสอนของหลวงพ่อจะยังคงดำรงอยู่ประกาศสัจจธรรมฝ่ายบุญฝ่ายสัมมาทิฐิ โดยส่วนเดียวสืบไป

......................................................................................................

ขอบคุณข้อมูลจาก..ศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดแห่งประเทศไทย (ศปท.)
ศูนย์ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์

......................................................................................................

คำทำนายของ นอสตราดามุส เกี่ยวกับหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

โคลงคำทำนายอนาคต ๕๐๐ ปีล่วงหน้า มีหลายบทที่พูดถึงหลวงปู่ ได้ไพเราะตรงตามความเป็นจริงมากที่สุดยืนยันได้ด้วยประจักษ์พยานที่มองเห็น ได้ด้วยสายตาและพิสูจน์ได ้จากการปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่มานาน โคลงคำทำนายบาทตัวอย่างที่น่าเชื่อถือ ได้แก่ พระสงฆ์จะมาบอกข่าว สารตอนกลางคืนอีก ๓ ปีต่อมาหลังจากเห็นประโยคนี้ก็มี DMC เป็นการพิสูจน์และยืนยันว่านอสตราดามุส ได้พยากรณ์เกี่ยวกับหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญอย่างแน่นอน

บทที่จะนำมาเสนอบทแรกอยู่ในศตวรรษที่ ๑ บทที่ ๕๐ (๑.๕๐) ดังที่จะอธิบายและวิเคราะห์ไป ทีละบาท (stanza)
1.50
De lซaquatique triplicit
naistra,
Dซun qui fera le jeudi pour sa feste:
Son bruit, loz, regne, sa puissance croistra,
Par terre et mer aux Oriens tempeste.

คำว่า "aquatique" น้ำ ไม่ได้ระบุว่าเป็นแม่น้ำ แต่หมายถึงสายน้ำทีนี้เราจะมาพิสูจน์ว่า นอสตราดามุสหมายถึงบ้านเกิดของหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี สภาพภูมิศาสตร์ที่บ้านเกิดของหลวงปู่ มีน้ำ ๓ สาย ซึ่งเป็นคลองไม่ใช่แม่น้ำ มีคลองสองพี่น้อง คลองบางใหญ่ และคลองลำรางมาบรรจบกัน (ปัจจุบันเหลือ ๒ สายเพราะถมคลองลำราง) แม้จะผืนน้ำตรงนี้จะไม่ได้มีลักษณะเป็นแม่น้ำ แต่ก็มีน้ำมาก ใช้แข่งเรือได้ บริเวณนี้มีน้ำท่วม ๗ - ๘ เดือนทุกปี ตรงกับคำว่ามีน้ำมาก ส่วนคำว่ามีน้ำล้อมรอบก็ตรง กับลักษณะเป็นเกาะของแผ่นดินจุดที่อยู่เหนือน้ำ สิ่งที่น่า สนใจคือ ผืนน้ำ ๓ สาย จะเป็นลำธาร คลอง แม่น้ำหรือทะเล กลายเป็นปริศนาที่น่าทึ่ง ทำให้นักแปลและนักถอด รหัสนอสตราดามุสพยายาม หาแผ่นดินที่อยู่ระหว่างน้ำ ๓ สายในประเทศต่างๆ ได้แก่ คานาดาที่ ๔๘ องศาละติจูด มีแม่น้ำ ๒ สาย กับมหาสมุทรแปซิฟิกล้อมรอบแต่ก็ไม่มีผู้มีชื่อเสียง หรือมีกำเนิดพิเศษเกิดบริเวณนี้

นักแปลต้องตัดประเด็นนี้ทิ้งไป ได้เลยเพราะคำว่า "Oriens" ทิศตะวันออก ในบาทสุดท้ายของโคลงบทนี้ชี้ชัดว่า บุคคลท่านนี้ไม่ใช่ชาวตะวันตกอย่างแน่นอน..ถ้าถอดเป็น สัญลักษณ์ทั่วไปของทางตะวันตก คำว่า น้ำ หมายถึงความยุ่งยาก อุปสรรค การเกิด ในที่ที่มีน้ำล้อมรอบและอยู่เหนือน้ำหมายความว่า บุคคลผู้นี้จะเผชิญอุปสรรคแต่จะอยู่เหนืออุปสรรค คำแปลตามระบบสัญลักษณ ์จะไปตรงกับการ ถอดรหัสนอสตราดามุสที่เกี่ยวกับหลวงปู่ในบทอื่นๆ ที่บอกว่า ท่านสามารถก้าวข้ามอุปสรรคได้

คำว่า "triplicite" สาม ยังหมายถึงการทวีเพิ่มขึ้นเป็นสาม และมีการแบ่งงานเป็นส่วนๆ ก็จะต้องหมายถึงภารกิจและการขยายงาน..เนื่องจากนอสตราดามุสเป็นชาวยุโรปอยู่ในตะวันตก ย่อมเห็นว่าทิศตะวันออกของเขาคือทวีปเอเชีย ฉะนั้น บุคคลผู้นี้จึงอยู่ในทวีปเอเชีย การแปล มาลงที่ แผ่นดินที่มีน้ำสามสายล้อมรอบจึงชัดเจนยิ่งขึ้น

Naistra เกิด ถ้าแปลโดยผิวเผิน คำๆ นี้หมายถึงเกิดแบบมนุษย์ทั่วไป แต่เมื่อเราถอดรหัสในรหัสด้วยการค้นคว้าให้ถึงที่สุดของความหมาย และเทียบเคียงกับตัวท่านตามที่ได้ยินได้ฟัง มาจากบุคคลใกล้ชิดท่านและการปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยตนเองก็จะพบว่าบุคคล ผู้นี้มีกำเนิดพิเศษ เมื่อแปลเป็นภาษา นอสตราดามุสจะได้ความว่า...บุคคลผู้นี้จะมาสู่โลก บังเกิดขึ้นเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นชีวิตที่เหมือนความฝัน ท่านจะก้าวออกมาจากความหลับ ไม่หลับแต่จะฝัน..

ท่านผู้นี้จะมีชีวิตเหมือนความฝัน ยังถอด รหัสได้อีกว่า ท่านผู้นี้จะเข้าถึงที่ลึกล้ำผ่านอุปสรรค เข้าไปสู่ความรู้ความเข้าใจ โดยไม่มีสิ่งใดขัดขวางได้เลย..

ความหมายของ บาทนี้ทำให้แน่ใจยิ่งขึ้นว่าเป็น หลวงปู่ จากประวัติที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ สอนนั่งสมาธิทุกวันพฤหัสบดี ตรงกับ le jeudi ทุกวันพฤหัสบดีคำว่า sa feste วันหยุดพักผ่อน เป็นการปลีกตัวในที่วิเวกทางศาสนาหรืออยู่ธุดงค์ เป็นการพักกายหยุดใจตามหลักการปฏิบัติธรรมหรือการนั่งสมาธิ..ชีวิตใหม่ของ ท่านเหมือนความฝัน หมายความว่าท่านตื่นอยู่เสมอ ดวงตาปิดจิตใจเปิดเกิดความร ู้ภายในที่เรียกว่าฝันในขณะที่กำลังตื่นอยู่..เมื่อนอสตราดามุสได้บอกตำแหน่งที่เกิดของท่านแล้ว การเกิดที่พิเศษ และหน้าที่แล้วยังบอกบุคลิกของท่านผู้นี้อีกด้วย

ผู้ถือกำเนิดตรงที่มีน้ำสามสายบรรจบกัน ได้สอนนั่งสมาธิทุกวันพฤหัสบดี คำว่า การสอน ในภาษาฝรั่งเศสยังหมายถึง..การรวมคณะบุคคลที่มีหน้าที่และการทำงานหรือการกระทำที่เกี่ยวกับศาสนาโดยประกาศออกมาเป็นคำพูด

คำว่า jeudi วันพฤหัสบดี ตรงกับชื่อของ เทพจูปิเตอร์ นอสตราดามุสมีความรู้เกี่ยวกับตำนาน เทพปกรณัมอมตะของกรีกและโรมันเป็นอย่างดีและชอบเอาบุคคลที่ตนต้องการกล่าว ถึงซ่อนอยู่ ในชื่อของเทพที่ต้องการ จะสื่อถึงว่าบุคคลผู้นี้มีลักษณะเป็นเทพผู้มีอำนาจเด็ดขาดสูงสุดไม่มีใคร ต้านทานได้เหมือนเทพจูปิเตอร์ผู้ยิ่งใหญ่

นักแปลนอสตราดามุสส่วนใหญ่มักตีความหมาย ของ เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดสูงสุด ในโคลง บทนี้และบทอื่นๆ ว่า..
บุคคลผู้นี้เป็นนักปกครองที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม แต่ความหมายนี้ใช้กับ หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญไม่ได้ เพราะเมื่อถอดรหัส คำว่า ท่านก้าวออกมาจากความหลับ ในภาษาฝรั่งเศส แล้วจะมีความหมายว่าท่านผู้นี้ อยู่ห่างไกลจากความสุดขั้ว นั่นคือท่านอยู่ตรงกลางระหว่างขั้วทุกขั้ว คำว่า ตรงกลาง แสดงว่า ท่านไม่ใช่ผู้ที่ใช้ความรุนแรงหรือเผด็จการ แต่เป็นผู้ที่ใช้อำนาจด้วยความเที่ยงธรรมและถูกต้อง อำนาจเด็ดขาดสูงสุดของท่านในโคลง ๑.๕๐ นี้ เกิดจากความรู้ภายใน การสอนสมาธิและการดูแลรักษาให้ทุกคนพ้นอันตราย

คำว่า วันหยุดพักผ่อนของท่าน เป็นการแสดงภารกิจของท่าน โดยไม่ได้เป็นการพักผ่อน ตามธรรมดาแต่เป็นการพักกายหยุดใจ ด้วยการ ปลีกวิเวกในทางพระพุทธศาสนา เราได้ทราบประวัติ ของหลวงปู่แล้วว่า จะสอนสาธุชนทุกวันพฤหัสบดี ข้อความนี้จะไปยืนยันกับคำทำนาย ว่าวันพฤหัสบดี เป็นวันที่ทุกคนได้หยุดกายพักใจ ดวงตาปิดจิตใจเปิดเกิดความรู้ภายในขณะกำลังตื่นอยู่เรียกว่า ไม่หลับแต่จะฝัน ซึ่งตรงกับหลวงปู่ที่ท่านสามารถ ฝันทั้งๆ ที่ยังตื่นอยู่

คำว่าเปล่ง สีหนาท son bruit มาจาก sa puissance อำนาจของท่าน แปลว่าการพูด ไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดาแต่เป็นคำพูดที่ประกาศออกมาเป็นคำสอนที่แฝงด้วยอำนาจ เด็ดขาดจึงเรียกว่า เปล่งสีหนาทอย่างม ีพลังของบุคคลที่ทุกคนจะต้องหยุดฟัง และยอมรับด้วยความจับใจ

อำนาจในการสอนของท่านเป็นอำนาจเดียวกันกับการปกครองดูแล นั้นก็หมายความว่าท่านมีความเป็นครู ผู้ดูแลคุ้มครองรักษาด้วยในเวลาเดียวกัน

คำว่า Par terre et mer อำนาจของท่าน ผู้นี้จะแผ่ขยายไปในแผ่นดินและทะเล หมายความ ว่า ท่านจะดูแลรักษามนุษย์ถึงที่สุด ที่สุดของมนุษย์ อยู่ที่ไหน ท่านจะตามดูแลรักษามนุษย์ถึงที่นั่น เพราะคำว่า terre โลก แผ่นดิน และสุดเขตของมนุษย์ บุคคลท่านนี้ จะแผ่ขยายอำนาจของท่านไปอย่างไม่มีขอบเขต และไม่มีที่สิ้นสุด อำนาจของท่านไม่ได้จำกัดแค่แผ่นดินและโลกเพราะมี คำว่า mer ทะเลแสดงว่าท่านจะดูแลและรักษา แผ่อำนาจออกไปอย่างไพศาลหาที่สุดมิได้

Oriens บุคคลท่านนี้อยู่ทางทิศตะวันออก หรือทวีปเอเชียเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดความ สั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวงทางทวีปเอเชีย

ปกติวิสัยของนอสตรา ดามุส ชอบพูดอะไรระหว่างสองขั้ว คือคลุมเครือกับชัดเจน รบกับสงบ แพ้กับชนะ ดำกับขาว อันตรายกับไม่อันตราย คำว่า สั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวง มีสถานการณ์ ๒ อย่างเกิดคู่กัน คือ สถานการณ์ที่กำลังจะอับแสง และสถานการณ์ที่กำลังจะเจิดจ้า นักแปล นอสตราดามุส ส่วนใหญ่จะแปลแต่สถานการณ์ อับแสงคือเลวร้าย ภัยพิบัติโดยไม่ได้แปลความหมาย ของอีกขั้วหนึ่งซึ่งจะต้องมีอยู่เสมอ

คำว่า Oriens tempeste สั่นสะเทือน อย่างใหญ่หลวงทางทิศตะวันออก หมายความว่าบุคคลผู้นี้จะมาบังเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ยากลำบากและเป็น อันตราย การมาบังเกิดของท่านก็จะทำ ให้สถานการณ์เลวร้ายนี้อับแสงลง

คำว่า"แผ่นดิน" หมายถึงที่สุดของมนุษย์หมายความว่ามีมนุษย์อยู่ที่ไหนท่านจะตามดูแลรักษาถึง ที่นั่น คำว่า "ทะเล" หมายถึงอำนาจของท่านจะแผ่ขยายไพศาลไม่มีขอบเขต "ทางทิศตะวันออก" หมายถึงทวีปเอเชีย และมีความหมายต่อไปอีกว่า คำสอนและกิตติศัพท์ของท่านจะออกมาจากทวีปเอเชีย แสดงว่าคำสอนของท่านจะแผ่ขยาย ไปยังทวีปอื่นๆ

ขอย้อนกับไปใน คำ"Naistra" คำสุดท้าย ของบาทแรกที่แปลไปแล้วว่า มีการเกิดที่พิเศษของบุคคลพิเศษ" เมื่อถอดรหัสความหมายที่ซ่อนอยู่ของคำๆ นี้ให้ลึกซึ้งลงไปอีกพบว่านอสตราดามุส ยังได้หมายความว่า.."บุคคลท่านนี้เข้าไปแล้วจะกลับออกมาใหม่ ณ สถานที่ที่ท่านละจากไปเป็นจุดเริ่มต้น นั่นก็คือแผ่นดินที่มีน้ำ ๓ สายล้อมรอบ นั่นเอง

...........

ความลับไม่มีในโลก
เป็นที่ทราบกันดีในเหล่าลูกศิษย์สมัยหลวงปู่ว่า ไม่มีอะไรที่หลวงปู่ไม่รู้ ไม่เห็น ความลับไม่มีสำหรับ ท่าน อีกทั้งท่านยังใส่ใจหมั่นตรวจตราดูแลลูกศิษย์ของท่านอยู่เสมอ ในเรื่องนี้มีลูกศิษย์ของท่านตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร ชื่อ ลุงเตชวัณ มณีวรรณวรวุฒิ ได้เล่าว่า...

"วันนั้นหลวงพ่อไม่อยู่ เราก็แอบไปปีนชมพู่มะเหมี่ยวตอนกลางคืน กัดไปแล้วด้วยนะ ด้วยความหิว พอเคี้ยวไปคำสองคำก็มาคิดว่า เอ๊ะ..เราจะกินดีมั้ยนะ พอคิดได้เราก็โยนชมพู่ทิ้ง ที่เคี้ยว อยู่ก็กลืนลงไป วันต่อมาหลวงพ่อท่านลงรับแขก ท่านก็มองหน้าผม คือ ผมจะมีหน้าที่ปูอาสนะให้หลวงพ่อตอนที่ท่านจะรับแขก พอแขกไปหมดแล้วท่านเอี้ยวตัวหันมาทางผมแล้วพูดว่า..เมื่อคืนนี้เอ็งไปปีนชมพู่ใช่ไหมวะ แหม..พอเอ็งกินเข้าไปแล้วเอ็งนึกได้ค่อยทิ้ง แล้วอย่างนี้ที่กลืนๆ ลงไป ศีลมัน จะเหลือหรือวะ ท่านพูดอย่างนี้ เหมือนท่านอยู่ในเหตุการณ์เลย"

ป้าจินตนา โอสถ อดีตแม่ชีที่เคยทำวิชชาอยู่กับหลวงปู่ เล่าเรื่องที่คล้ายกันนี้ให้ฟังว่า"คราวนั้นเป็นฤดูหนาว หนาวมากเลย มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งออกมาอยู่แถวๆ ห้องทำวิชชา ดูท่าทางเขาหนาวมาก พอเห็นแล้วป้าก็สงสาร จึงเอาผ้าห่มที่มีอยู่แค่ผืนเดียว ของตัวเองให้เขา พอช่วงเย็นๆ หลวงพ่อก็ถามว่า ใครไม่มีผ้าห่มบ้างวะ เหมือนกับท่านรู้ แล้วท่านก็ส่งผ้าห่มมาให้ ๑ ผืน ส่งผ่านช่องเล็กๆ ห้องทำวิชชา จะมีช่องเล็กๆ ไว้ยื่นส่งของ"

หยั่งรู้อนาคต
คุณลุงสมจิตร ฉ่ำรัศมี อดีตสามเณรวัดปากน้ำเล่าว่า "แต่ก่อนหลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าต่อไปยุคเอ็งจะได้เห็นปราสาท ๓ ฤดู เราก็หัวเราะเพราะไม่เชื่อ ต่อมาเดี๋ยวนี้มีคอนโดติดแอร์ขึ้นมา หลับสบายเหมือน ปราสาท ๓ ฤดู ให้ร้อนก็ได้ ให้หนาวก็ได้ ท่านกำหนดรู้ไปหมด คลองจะเป็นถนน ถนนจะเป็นเส้นขนมจีนนะ หม้อดินต่อไปจะไม่ต้องหุง มีหม้อทิพย์ เปิดปุ๊บติดปั๊บ จะมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ..เดี๋ยวนี้มีหม้อหุงข้าวเปิดปุ๊บติดปั๊บ โทรทัศน์ก็มี อยากดูช่องไหนก็เปิดดู เหมือนเรามีตาทิพย์ หูทิพย์ก็มีโทรศัพท์ติดต่อสื่อสารกันได้ ฮัลโหลๆ พูดกันรู้เรื่อง"
 
แก้ไขภัยพิบัติและรักษาโรค
พระเดชพระคุณหลวง ปู่ ท่านเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์ทั้งหลายในทุกเรื่อง แก้ไขภัยพิบัติต่างๆ ของประเทศ หรือแม้แต่ความเจ็บไข้ได้ป่วย ใครมีโรคภัยใดๆ มักจะนำมาให้หลวงปู่รักษาอยู่เสมอแต่วิธีการรักษาของท่านไม่ต้องใช้ยา ท่านรักษาด้วยวิชชาธรรมกาย โดยสั่งให้ผู้ที่ได้ธรรมกายช่วยแก้โรคให้ คนที่มารักษาต้องนั่งสมาธิด้วย เพื่อให้กระแสจิตเชื่อมถึงกันจึงจะได้ผล แม่ชีทวีพรเลี้ยบประเสริฐ ซึ่งเคยทำวิชชาอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงปู่เล่าว่า "เรื่องของการทำวิชชานั้น หลวงพ่อให้ทำวิชชาแก้เภทภัยของประเทศและรักษาโรค มาขอให้หลวงพ่อ เรียกฝนก็มีเป็นคนทำนาแถวๆ สุพรรณบุรี ให้ทำนา ทำสวน ทำไร่กันได้ แล้วฝนก็ตกจริงๆ ..คนป่วย ที่จะให้รักษาต้องเขียนชื่อ สกุล ที่อยู่ เป็นโรคอะไร แล้วส่งให้หลวงพ่อ ท่านก็สั่งให้แม่ชีแก้อีกครั้งหนึ่ง บางคนใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะหาย และเมื่อกลับบ้านแล้วต้องปฏิบัติธรรมและถือศีลด้วย ต้องนั่งธรรมะ (นั่งสมาธิ) ๑๐ - ๒๐ นาที อย่างโรคภัยไข้เจ็บ อาการบ่งบอกว่าจะตายในระยะเท่านั้นเท่านี้ พอหลวงพ่อส่งคนไปรักษา คนนั้นก็ไม่ตาย วิธีการรักษาก็ไม่ต้องกินยา ใช้กายองค์พระธรรมกายกลั่นธาตุธรรมให้ใสให้สะอาด"
 
ดับเดือน ดับดาว
ดวงดาวที่อยู่บน ท้องฟ้า แม้จะเดินทางไปให้ถึงยังแสนยากเย็น แต่ในยุคของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านสามารถดับดาวได้ เรื่องนี้แม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉายเล่าว่า "ชีวิตจิตใจของหลวงพ่อไม่มีอะไรมากไปกว่า วิชชาธรรมกาย ๒๔ ชั่วโมง หลวงพ่อไม่เคยห่าง ทำวิชชาตลอด หลวงพ่อจะทดลองวิชชาอยู่เรื่อย ครั้งหนึ่งมีญาติโยมมานั่งกันเต็ม ช่วงกลางคืน คืนนั้นดาวเต็มฟ้า ท่านก็ให้เณรที่อยู่ใกล้ๆ ท่าน (หลวงพ่อเล็ก) ดับดาวบนท้องฟ้า จะเห็นดาวดับเป็นแถบๆ เลย เพื่อให้รู้ว่าวิชชาธรรมกายสามารถทำได้ ไม่ใช่เพื่อเหตุผลอย่างอื่น
 
ปัดลูกระเบิดสมัยสงครามโลก
ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ ๒ ถือเป็นช่วงหน้าสิ่ว หน้าขวานของประเทศไทย มีการทิ้งระเบิดไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยความอัศจรรย์ในวิชชาธรรมกาย พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านแก้ไขเหตุร้ายต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้ ในเรื่องนี้ ได้รับคำยืนยันจากคุณลุงประคองทับจ้อย อดีตศิษย์ที่ใกล้ชิดของท่านได้เล่าว่า "วิชชาของหลวงพ่อวัดปากน้ำนี่ท่านดีจริง ถ้าวิชชา ของหลวงพ่อไม่แน่ ตอนนี้วัดปากน้ำเหลือแต่ดุ้นฟืน เพราะตามหลักจริงๆ แล้ว วัดปากน้ำเป็นจุดที่ระเบิด ลงเลยแหละ ประตูน้ำบางคลองนี่ไม่เหลือ ตั้งแต่ประตูน้ำบางนกแสก ประตูน้ำอ่างทอง ประตูน้ำบางยาง เหลือเพียงแต่ประตูน้ำภาษีเจริญที่ไม่เป็น อะไรเลย ช่วงนั้นหลวงพ่ออยู่ในโบสถ์ ไม่ออกจากโบสถ์เลย นั่งทำวิชชาของท่านอย่างเดียว นั่งปัดลูกระเบิดอย่างเดียว แล้วบางคนก็วิ่งมาที่วัดปากน้ำเพราะมั่นใจว่าอย่างไรก็ปลอดภัยที่สุด ...ตอนสงครามโลก ช่วงนั้นมีมดแดงกัดกัน แปลก! มัน กัดกันตายกองเป็นเข่งเลย ก็ไปบอกหลวงพ่อว่า..หลวงพ่อมดมันกัดกันตายเต็มถนนไปหมด หลวงพ่อ ท่านก็บอก อือ..อีก ๗ วัน สงครามจะเลิก หลังจาก หลวงพ่อท่านพูดก็เลิกจริงๆ อีก ๗ วัน สงครามเลิก เลย

อานุภาพอันอัศจรรย์ ต่างๆ เหล่านี้ ได้คัดเลือก มาจากหนังสือ "บุคคลยุคต้นวิชชา" เป็นคำบอกเล่าของเหล่าศิษย์ในยุคของหลวงปู่ ที่พบเห็นด้วยตาของตนเอง ทำให้มหาชนประจักษ์ถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอย่างจะนับจะประมาณมิได้ ซึ่งเกียรติคุณของท่านยังคงเลื่องลือมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันในวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ นี้ เหล่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายจะได้ร่วมกันหล่อรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่ด้วยทองคำ ให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา เป็นรูปหล่อทองคำ อันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นการเชื่อมสายบุญอันศักดิ์สิทธิ์ ให้พวกเราได้สร้างบารมีกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย และได้บรรลุธรรมตามท่าน ไปจนถึงที่สุดแห่งธรรม


ที่มา...คำทำนายของ นอสตราดามุส ...http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=415&Itemid=4
อ้างอิง...หนังสือ "บุคคลยุคต้นวิชชา" https://www.gotoknow.org/blog/dhammakaya-01.
อ้างอิง...http://khunsamatha.com/

ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ วัน, วันที่ เดือน ปี ชม:นาที

อัลบั้มรูป