ถั่ว เป็นของรับประทานง่าย ดังที่ครั้งหนึ่งเคยเล่าไว้ว่าเป็นหนึ่งในอาหารว่างสุขภาพที่สามารถเลือก บริโภคได้ ซึ่งคนไทยเราคุ้นเคยกับถั่วชนิดต่างๆ ดีมาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าทุกวัยต่างต้องเคยลิ้มลองของกินชนิดนี้

เพราะบ้านเราโชคดีที่มี “ดิน” อันแสนมหัศจรรย์เหมาะกับการปลูกพืชในตระกูลถั่วและตระกูลอื่นๆ เรียกได้ว่ามีดินดีเป็นต้นทุนอยู่แล้วจะปลูกอะไรก็ขึ้นได้งาม ได้ดอกได้ผลให้คนได้กินอย่างอุดมสมบูรณ์

หย่อนเม็ดอะไรลงดินไปก็งอกเป็นของกินได้..เพราะความลับหนึ่งในดินก็คือ แร่ธาตุอันอุดมและอาหารในอากาศคือ “กาซไนโตรเจน” ที่ถูกฟ้าผ่าช่วยย่อยจนปุ่มปมต่างๆ ของต้นถั่วสามารถจับเข้ามาปรุงจนได้ผลิตผลอันทรงคุณค่าเปี่ยมไปด้วย “โปรตีน” ที่มีส่วนสำคัญมาจากไนโตรเจนที่ว่า
จึงไม่น่าแปลกใจที่เม็ดถั่วซึ่งเป็นผลลัพธ์นั้นจะอุดมไปด้วย “ของดี” ที่ช่วยสุขภาพ

ของดีในถั่ว

- โปรตีนย่อยง่าย เป็นความพิเศษของพืชตระกูลถั่วที่บรรจุโปรตีนย่อยง่ายไว้ในตัวมันอย่างเต็ม เปี่ยม ซึ่งโปรตีนนี้ช่วยบำรุงร่างกาย และทำให้รู้สึกอิ่มได้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับไขมันอิ่มตัวสูงเหมือนเนื้อสัตว์

- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คือ แป้งในถั่วที่เป็นแป้งสุขภาพเพราะมีดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำกว่าแป้งขัดขาว หรือน้ำผลไม้ที่ประกอบด้วยน้ำตาลเป็นหลัก

- กลุ่มพฤกษเคมี เป็นของดีจำพวกวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในถั่วประเภทต่างๆ โดยเฉพาะในถั่วสีต่างๆที่มีอยู่หลายชนิดในบ้านเรา

- ใยอาหารสุขภาพ ถั่วเป็นแหล่งใยอาหารชั้นดีเพราะมีครบทั้งชนิดที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ปกติ อีกทั้งยังช่วยป้องกันน้ำตาล และไขมันส่วนเกินได้ด้วย

*ถั่ว 7 สีมีประโยชน์

1) ถั่วเหลือง

มีโปรตีนชั้นดีที่เข้มข้นจนนำไปทำ เป็นเต้าหู้, เต้าหู้ยี้, เต้าฮวย, น้ำเต้าหู้ หรือแม้แต่เนื้อสัตว์เทียมได้ ของดีเหนือชั้นในถั่วเหลืองอีกก็คือ “พฤกษฮอร์โมน” ที่มีประโยชน์ช่วยอาการวัยทองโดยธรรมชาติ นอกจากนั้นถั่วเหลืองยังถือว่าเป็นอาหาร “บำรุงสมอง” ชั้นดีเพราะมีสาร “เลซิทิน (Soy Lecithin)” อีกด้วยครับ

2) ถั่วเขียว

หรือบางทีเรียก “ถั่วทอง” มีโปรตีนอยู่สูงเช่นกันครับ โดยถั่วเขียวเป็นแหล่งรวมกรดอะมิโนหลากหลายที่ร่างกายนำไปใช้ได้โดยตรง ได้แก่ กรดกลูตามิก, ไลซีน, ลิวซีน รวมถึง “อาร์จินีน (Arginine)” ที่ช่วยสุขภาพหลอดเลือดในหนุ่มๆ ได้ ส่วนสาวๆ ที่ชอบทานวุ้นเส้นซึ่งคือ ส่วน “แป้ง” ของถั่วเขียว ขอให้ทานกำลังดีจะไม่อ้วนครับ

3) ถั่วแดงหลวง

มีที่มาอันเป็นมงคลเพราะเป็นพันธุ์ พระราชทาน ในทางอาหารถือว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งเส้นใยช่วยสุขภาพป้องกันมะเร็ง มีส่วนของเส้นใยที่อุ้มน้ำพองในท้องทำให้อิ่มเร็วและอิ่มได้ทน จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ส่วนในสีที่เข้มนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิด “โพลีฟีนอลส์” อยู่ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ครับ

4) ถั่วดำ

เป็นถั่วที่เราคุ้นเคยกันดีในขนมไทยๆ เช่นเดียวกับในเกาหลีที่มีซอสถั่วดำทำจาจังมยอน (หมี่ราดซอสดำ) ถั่วดำมีโปรตีนสูงแต่กรดไขมันไม่มากนัก และเป็นชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งทำให้ร่างกายไม่ต้องเสี่ยงอ้วนมากไป แต่ได้อารมณ์อิ่มพอดี ต่างประเทศจึงมีการใช้สูตรถั่วดำกับเต้าหู้ช่วยลดน้ำหนัก นอกจากนั้นถั่วดำยังมีธาตุเหล็กสูงช่วยโลหิตจางได้ด้วย

5) ถั่วขาว

เป็นถั่วชื่อดังในหมู่ผู้อยากลืมพุง เพราะถั่วขาวถูกนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ลดอ้วนหลายชนิด โดยมีชื่อที่คุ้นหูคือ “สารสกัดถั่วขาว” ซึ่งสารตัวนี้มีชื่อว่า “ฟาซิโอลามีน (Phaseolamin)” โดยจะไปยับยั้งการย่อยแป้งที่คอยสร้างความอวบ แต่กระนั้นการกินถั่วขาวอย่างเดียวไม่อาจลดน้ำหนักได้ ต้องคุมอาหารกับออกกำลังด้วยครับ

6) ถั่วลิสง

มีหลายผลิตภัณฑ์ให้เลือกทั้งถั่วบน ศีรษะ เอ๊ย…ถั่วแขก, ถั่วต้มตักขาย หรือถั่วลิสงคั่วแบบเคี้ยวกรอบเพลินดี แต่ไม่ว่าจะถั่วแบบไหนก็ให้ผลลัพธ์คือมันสนุกเหงือก เพราะถั่วลิสงมีน้ำมันชนิดดีบรรจุอยู่ครับ นอกจากนั้นยังมี “วิตามินอี” ช่วยบำรุงผิวพรรณอีกด้วย

7) ถั่วลันเตา

เป็นถั่วสีสวย เอามาทำอาหารได้หลายอย่าง สันนิษฐานว่ามาจาก “ห่อหลั่นเตา” คือ ถั่วฮอลแลนด์ ถั่วลันเตามีสรรพคุณสำคัญคือ ช่วยบำรุงสายตา, บำรุงผิว และบำรุงกระดูกได้ดีจาก “เบต้าแคโรทีน” ที่มีอยู่ในสีเขียวสดกับแคลเซียมที่มีมากกว่าถั่วฝักยาวถึง 4 เท่า นอกจากนั้นยังเหมาะกับท่านที่ความดันสูงเพราะมี “โพแทสเซียม” สูงช่วยปรับความดันครับ

บรรดานานาถั่วที่กล่าวมาทั้งถั่วมันๆ เคี้ยวเล่นเพลินใจ ถั่วที่ใช้ทำอาหารอย่างถั่วลันเตาและถั่วที่เอามาทำเป็นอาหารยอดฮิตคือ “เนยถั่ว” อย่างถั่วลิสง ถั่วทั้งหมดนี้ให้ทั้งคุณค่าทางอาหารคู่มากับความอร่อย ถ้าทานบ่อยก็อาจสลับสีกันบ้างหรือสร้างเมนูเครื่องดื่มจากถั่วสารพัดสีบ้าง ก็ได้

ส่วนข้อควรระวังของการกินถั่ว นั้นอยู่ที่ข้อจำกัดของผู้กินและ “พิษอะฟลาท็อกซิน” ที่กินเข้าไปสร้างมะเร็งในร่างกายได้ ขอให้เลือกถั่วที่ใหม่และสะอาดไว้เป็นหลักครับ สำหรับสาวๆ ที่อยากหุ่นดีก็หันมากินถั่วกันได้นะครับ แค่กินให้ถูกวิธีและปริมาณกำลังดี

ที่มา..http://www.manager.co.th/