ลูกจงทำจิตใจให้ยอมรับสภาพตามความจริงว่า…
อยู่ที่ไหนก็ได้ อย่างไม่เป็นทุกข์
เราจะไม่เป็นหมาขี้เรื้อน เพราะหมาขี้เรื้อนจะย้ายถิ่นบ่อย
ลูกสาวของพ่อ…ขอให้จำไว้ว่า...
“ถ้าลูกมีความตั้งใจดีทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น”
จะทำให้การทำงานและการใช้ชีวิตไม่เหนื่อยมาก
เพราะลูกไม่แสวงหามาก จึงไม่ต้องบังคับตัวเอง
แต่ในทางตรงข้าม ยิ่งแสวงหามาก ยิ่งบังคับ คาดหวังในตัวเองมาก
ทำให้ยิ่งไม่ได้ดั่งใจ นึกมาก ความทุกข์ยิ่งเพิ่มขึ้น..
ในการทำงาน...
ขอให้มีหลักว่า…ต้องซื่อสัตย์ต่องาน
มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ควบคุมอารมณ์ให้ได้
ขอให้ลูกมีความกระตือรือร้น มีความอดทนเพียงพอ
ทำให้เต็มความสามารถ และพัฒนาความสามารถไปเรื่อยๆ
อย่าคาดหวังผลมากนัก พอใจกับชีวิตและผลงานที่ทำ
เพราะลูกได้ทำอย่างเต็มความสามารถแล้ว
ดั่งคำสอนของท่านพุทธทาสที่ว่า...
“จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้นฯ”
ลูกจะได้ไม่เสียกำลังใจ ท้อแท้กับความไม่ได้ดังหวัง
ลูกของพ่อลองคิดพิจารณา แล้วถามตัวเองซิว่า...
“ถ้าคาดหวังให้ได้ดีกว่า หรือมากกว่าที่มี ที่ได้นั่น
ก็ไม่ใช่ตัวของลูกแล้ว แต่เป็นคนอื่น”
และ “คนอื่นที่เขาทำ เขาได้ เพราะเขาสามารถ
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของลูกอีกเช่นกัน”
จงอย่าเปรียบเทียบในสิ่งสมมุติ
ลูกก็จะได้ไม่ต้องย้ายตัวเองไปเรื่อยๆ ดั่งหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
พ่อได้อ่านวารสารของกองทัพสหรัฐฉบับหนึ่ง อ่านแล้วสนุกและได้ข้อคิด
ในเรื่องการพิจารณาทุกสิ่ง…ต้องรอบคอบและมีสติ
เรื่องมีอยู่ว่า…
เรือรบสองลำ ถูกมอบหมายให้ซ้อมรบในทะเล
ซึ่งมีพายุโหม หมอกปกคลุมทั่ว ในเวลากลางคืนของวันหนึ่ง
กัปตันอยู่บนหอบังคับการ เพื่อคอยสังเกตปรากฎการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น
ยามรักษาการรายงานว่า.. “มีแสงมาจากทางกาบขวาของหัวเรือ”
๑ กัปตันถามว่า “แสงพุ่งมาทางข้างหน้า หรือ ค่อยๆถอยหลังห่างออกไป”
ยามรักษาการตอบ “มันพุ่งตรงมายังเราครับท่าน”
กัปตันคิด…ก็แปลว่ามันกำลังจะชนเรือเราแน่
จึงสั่งว่า “ส่งสัญญาณบอกเรือลำนั้นว่า ให้เปลี่ยนทิศทาง ๒๐ องศา”
แต่กลับได้รับสัญญาณตอบกลับมาว่า..ให้เรือของเขาเปลี่ยนทิศทาง ๒๐ องศาแทน
๑ กัปตันสั่งให้ส่งสัญญาณกลับไปอีกครั้งว่า “นี่คือคำสั่งของกัปตัน
ขอให้ท่านเปลี่ยน ทิศทาง ๒๐ องศาเดี๋ยวนี้” คำตอบที่ได้รับคือ
“ผมคือชาวทะเล ขอให้ท่านเปลี่ยนทิศทาง ๒๐ องศา จะดีกว่า”
๑ กัปตันโกรธมาก และสั่งให้ส่งสัญญาณกลับไปใหม่ว่า
“นี่คือเรือรบ เปลี่ยนทิศทาง ๒๐ องศาทันที ได้ยินไหม”
สัญญาณตอบกลับมาว่า “สัญญาณนี้ส่งมาจากประภาคาร โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย”
๑ ในที่สุด เรือรบต้องเป็นฝ่ายหันหัวเรือ ๒๐ องศา
เพราะ ถ้าไม่หัน เรือรบก็จะชนกับประภาคาร
ลูกเห็นไหมว่า…บางที สิ่งที่เห็นก็ไม่ตรงกับสิ่งที่เป็นจริง
คนเรานั้น มีแนวโน้มที่จะเชื่อสิ่งที่เห็นและตัดสินใจบนพื้นฐานของสิ่งที่เห็น
ความจริงแล้ว “ภาพที่เห็น” หรือ “สิ่งที่รับทราบ จากการติดต่อสัมพันธ์กัน”
อาจไม่ใช่ความจริงก็ได้!
พ่อไม่ได้หมายถึงเพียงภาพ หรือสื่อที่ติดต่อสัมพันธ์กันเท่านั้น
แต่พ่อหมายถึงการสัมผัสลูบคลำ แล้วรู้สึกว่า เย็น ร้อน อ่อนแข็ง ด้วย
เราไม่ควรด่วนสรุปอะไรง่ายๆ ควรพิจารณาให้ละเอียดคิดให้รอบคอบ มองให้รอบด้าน
รวมๆ แล้ว ๒๐ กว่าปี ที่พ่อแม่เลี้ยงลูกมา
พ่อคิดว่า…พ่อแม่ไม่เคยกดดันลูกจนเกินไป
แต่…ก็ไม่ใช่จะเอาใจลูก พ่อแม่สอนให้ลูกมีประสบการณ์ แพ้-ชนะ
จนเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต...
ดังนั้น…ในสายตาของพ่อลูกเป็นคนยอมรับและเข้าใจตนเอง
พร้อมทั้งยอมรับว่า “คนอื่น” ก็มีความสำคัญด้วย
เมื่อเจอปัญหาเข้ามาในชีวิต ลูกของพ่อไม่เคยโทษฟ้า-ดิน หรือคนอื่น
พ่อเห็นลูกมุ่งไปที่สาเหตุก่อน แล้วจึงใช้ความพยายามที่เป็นจริงของตน
ไปแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ พ่อเห็นแต่กำลังใจมากมายในตัวลูก ที่จะชนะอุปสรรค์ต่างๆ
และยินดีที่ลูกไม่หม่นหมองกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต..จนเป็นกับดักของตัวเอง
เหนือสิ่งอื่นใด…พ่อขอแนะนำว่า...
ถ้าลูกสามารถรักษาจิตใจให้อยู่ในสภาวะ “ปกติ” ตลอดเวลา
ไม่ว่าอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กายและใจของเรา
ลูกจะอยู่ที่ไหน ลูกก็จะไม่ทุกข์!
ตอนนี้แม่ของลูก ต้องไปเฝ้าคุณยายที่โรงพยาบาลตลอด ๒๔ ชั่วโมง…
พ่ออยากให้ลูกเรียนรู้วิถีชีวิต จากวัยเด็ก วัยเรียน วัยทำงาน วัยชรา…
“วัฐจักรที่เปลี่ยนแปลง” เรียนรู้หน้าที่ของบุตรที่พึงมีต่อบิดา มารดา…
ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด ลูกควรศึกษาจากชีวิตจริงๆที่ผ่านเข้ามา
พ่อ-แม่นั้น…ไม่เคยสอนลูกเพียงคำพูด แต่ปฏิบัติให้ดู …
เรียนรู้สิ่งที่ดีที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและเก็บไปพิจารณาด้วยเหตุ-ผลของลูกเองเถอะนะ!
รักลูกมาก....พ่อ
๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ เวลา ๐.๔๒ นาฬิกา