สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพระพุทธดำรัสไว้เพียงว่าความเกิดเป็นทุกข์ ทุกชีวิตต้องเกิดใหม่แน่ ตายเมื่อไรก็เกิดใหม่เมื่อนั้นแน่นอน ไม่จำเป็นต้องเกิดเป็นคนดีจึงจะเป็นการเกิด เป็นวิญญาณก็เป็นการเกิด เป็นเทวดาก็เป็นการเกิด เป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ก็เป็นการเกิด และทุกการเกิด ไม่จำเป็นต้องเป็นคน ก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น
O ทุกชีวิตของการเกิดต้องเป็นทุกข์ทั้งนั้นมากน้อยไม่เท่ากันเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามเหตุที่ได้กระทำกันมา เหตุนั้นคือกรรมทำกรรมชั่วหนักหนา ก็จะต้องเกิดในภพชาติที่มีความทุกข์หนักหนา สมควรแก่กรรมที่ได้ทำมานั่นเอง ทุกชีวิตจะไม่พ้นจากกรรมที่ได้ทำไว้
O ทำกรรมดีไว้ เป็นการทำเหตุดี ผลที่จะได้รับก็จะเป็นผลดี ที่สมควรแก่เหตุแน่นอน ดังนั้นแม้จะไม่มีความรู้ของญาณ ก็พอจะรู้ได้ว่าใครต่อใครที่รู้จักอยู่นั้นเป้นผู้ได้เคยทำกรรมใดไว้ ดีหรือไม่ดี เป็นบุญหรือเป็นบาป รู้ได้ถูกต้องพอสมควรแม้จะไม่มีญาณหยั่งรู้เลยก็ตาม
เมื่อมีความเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นอะไรก็เป็นทุกข์ เพียงแต่ว่าความทุกข์อาจจะไม่เหมือนกัน วิญญาณก็จะทุกข์ไปตามแบบของวิญญาณ เช่นเป็นผีเป็นเปรต เคยมีผู้เล่าว่าเมื่อเปรตเป็นทุกข์จะกรีดเสียงร้องโหยหวน เป็นที่หวาดกลัวจนขนลุกขนพองของมนุษย์ที่ได้ยิน
เป็นสัตว์ก็ร้องด้วยเสียงตามชนิดสัตว์ ตามความรู้สึกเจ็บปวด หรือเป็นสุข และคนได้ยินก็จะรู้ ว่าสัตว์นั้นๆ แสดงความรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะหมา น่าจะเพราะคนคุ้นกับหมามาก ยิ่งกว่าคุ้นกับสัตว์ชนิดอื่น จึงเข้าใจเสียงของหมาได้ดีกว่าเข้าใจเสียงขสองสัตว์อื่น
...
คัดตัดตอน พระนิพนธ์ "แสงส่องใจ"...วันมาฆบูชา ๒๕๔๙
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก