เปลี่ยนสังคม...เริ่มต้นที่ตัวเรา

เขียนโดย 

 

คนไทยเป็นคนยิ้มง่าย คนไทยเป็นคนรักพวกพ้อง คนไทยเป็นคนชอบช่วยเหลือ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน คนไทยรู้รักสามัคคีกัน ฯลฯ เราคงคุ้นหูกับการบรรยายคุณสมบัติของชาติกำเนิดเราตั้งแต่เด็ก จนรู้สึกแอบภาคภูมิใจไม่ได้หากมีหนังสือท่องเที่ยวต่างประเทศบรรจุคำเหล่า นี้ หรือมีชาวต่างชาติพูดชมให้เราได้ยินกับหู

แต่ลองนึกย้อนดูสิว่าปัจจุบันคำกล่าวที่เคยได้รับการชื่นชมกับ 'ความจริง' ที่ ปรากฏมันสวนทางเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบแล้วหรือไม่ คำถามคือเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย (ของเรา) คำตอบคือเพราะพวกเราเองนั่นแหละที่ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านพ้นเลยเถิดไปไกล..

เราลองมาเริ่มเปลี่ยนแปลงสังคมจากตัวเราเองกันดีไหม แม้สิ่งที่ทำจริงๆ มันอาจจะเป็นเพียงแค่0.000000000000001% ที่ช่วยสังคมได้ แต่ก็ถือว่ายังดีกว่าทำตัวเป็นต้นเหตุให้สังคมติดลบ

* เปลี่ยนทัศนคติรู้จักใจเขาใจเรามากขึ้น นี่คงเป็นพฤติกรรมที่เลี่ยงไม่ได้ของคนสังคมเมืองที่ต้องใช้ชีวิตด้วยการแข่ง ขัน ตั้งแต่กิน เดิน ทำงาน เที่ยว ฉะนั้นภาพที่จะทำให้ฟรีๆ ช่วยเหลือกันคงหาได้ยากชนิดที่คนต่างจังหวัดเข้ามาอาจงงได้ว่า ทำไมคนเมืองเขาเป็นกันขนาดนี้เลยเหรอ แค่จะมีวินัยในการต่อแถวขึ้นรถบีทีเอสหรือใต้ดินยังมีคนไร้วินัยแอบทำเป็น ไม่รู้ไม่ชี้เมื่อขบวนรถไฟมาก็หน้าตาเฉยเดินสวนเข้าไปก่อน

ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ต่อไปนี้ทำอะไรก็นึกถึงคนอื่นบ้าง อย่าเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของสังคมมนุษย์เลย จะแซง จะเห็นแก่ตัว จะกดขี่ข่มเหงผู้อื่นทั้งทางวาจาหรือภาษากาย ถ้ายากเกินไปที่จะคิดก่อนทำควรตั้งสติหน่อยแล้วหันไปสบตา สังเกตสีหน้าเพื่อรับความรู้สึกของคนที่ถูกเราเอาเปรียบไปบ้างว่าเขามีอาการ อย่างไร เพียงแค่นี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและจะทำให้เรามีความสุขในอนาคตได้ไม่ยาก

* แบ่งเปอร์เซ็นต์คิดเพื่อส่วนรวม ทุกวันนี้ลองถามตัวเองว่าเคยแบ่งเวลา เจียดเงิน สละความสุขของตัวเองเล็กน้อยๆ ไปให้คนในสังคมที่มีโอกาสน้อยกว่าเราบ้างหรือไม่ อย่าได้อ้างเชียวว่ายุคนี้เป็นยุคของเอ็นจีโอที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ให้คนเหล่า นี้ แล้วก็ปล่อยให้เขาทำหน้าที่ไป

การที่คุณมีเวลาไปช่วยอ่านหนังสือให้คนตาบอด เก็บกระดาษที่ใช้แล้วสองหน้ากระดาษไปให้คนตาบอดไว้พิมพ์อักษรเบลล์ การไปช่วยเลี้ยงเด็กกำพร้า การไปสอนหนังสือให้ชุมชนยากจน หรือแม้กระทั่งการเป็นอาสาสมัครในยามที่เกิดภัยพิบัติในการไปแพ็คของบริจาค ฯลฯ นี่แค่เพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำได้ แล้วลองนำเหตุการณ์ที่ว่านี่ไปนั่งเปรียบเทียบกับกิจกรรมเสาร์ - อาทิตย์ที่เป็นอยู่จริงว่าเป็นอย่างไร ไปช้อบปิ้ง ไปถ่ายรูปเล่น ไปนั่งเม้าท์ร้านกาแฟชิลล์ๆ ไปดูหนัง จัดปาร์ตื้ดื่มแอลกอฮอลล์ ฯลฯ

เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ค่ะว่าทำงานมา 5 วัน เหนื่อยอยากมีเวลาส่วนตัว ขอเวลาพักผ่อนบ้าง แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งของคนที่ไม่เคยได้โอกาสอะไรดีๆ ในชีวิตเลย เขาเพียงแต่นั่งรอ เข้าแถวเพื่อรอคนแบ่งปันโอกาสดีๆ มาให้เขาที่น้อยนิด พวกเขาจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตขนาดไหน เราอาจมีเวลา 5 วันที่เหน็ดเหนื่อย แต่พวกเขาต้องเผชิญกับความจริงที่โหดร้ายตลอดทุกวัน รอแล้วรอเล่าว่าเมื่อไรที่พวกเขาจะเป็นเหมือนพวกคุณบ้างการเสียสละเวลา แรงกายและแรงใจเพื่อคนอื่นบ้างก็คงรู้สึกดีไม่น้อยทั้งผู้ให้และผู้รับ

*เลิกหยุดเฉยกับสิ่งที่ไม่ดีและหันมาบอกปฏิเสธกับสิ่งนั้นบ้าง ต้องยอมรับว่าหลายครั้งเราเองรู้สึกไม่ดีกับอะไรบางอย่างในสังคมเพื่อน สังคมการทำงาน สังคมที่เราอยู่ แต่คนไทยมักจะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก จนกลายเป็นช่างเหอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เราอยู่ส่วนเราดีกว่า ซึ่งคำเหล่านี้ได้เข้ามาแทนที่ ฉะนั้นตอนนี้สังคมเหมือนขาดคนมีความจริงใจที่จะไปช่วยเหลือคนอื่น แนะนำคนอื่น หรือกล้าที่จะบอกว่าเขาทำไม่ถูกต้อง ไม่ถูกเรื่อง

แต่วันนี้ปัญหาหลายอย่างได้ถูกหมักหมมจนปรากฏเป็นข่าวหลายข่าวว่า เรายอมขายที่ให้เกิดสิ่งปลูกสร้างที่ไม่กลมกลืนกับธรรมชาติเหมือนแต่ก่อน เรายอมที่จะจ่ายอะไรเพื่อให้ได้อะไรในสิ่งที่มีผลประโยชน์ต่อครอบครัวหรือ บริษัทตัวเอง และพอเกิดปัญหาสังคมขึ้นมาก็ได้มาแต่นั่งวิพากษ์วิจารณ์กันว่าคนนั้นไม่ดีคน นี้โกงกิน แต่ไม่เคยกลับย้อนมาดูตัวเองว่าที่ผ่านมา แม้จะไม่ชอบในสิ่งที่ทำแต่กลับไม่แสดงออกออกมาว่าฉันไม่ชอบหรือปล่อยอาการ เพิกเฉยออกมา เพียงเท่านั้นก็เท่ากับว่าคุณยอมรับกับการกระทำของคนกลุ่มนี้ ยอมรับกับความเป็นไปในสังคมนี้ไปโดยปริยาย ถึงเวลาแล้วที่จะฉุกความคิดกล้าขึ้นมาบอกต่อต้านและหยุดสิ่งไม่ดีออกจาก สังคมไทย

*ปลูกฝังคนใกล้ชิดให้รู้จักทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง โดยเฉพาะสมาชิกเด็กน้อยในบ้านที่ให้เขาได้รู้จักการเสียสละการทำประโยชน์เพื่อ ส่วนรวมบ้าง อย่างน้อยก็ทำให้เขาไม่เติบโตมาด้วยจิตใจที่ด้านชาในการมีน้ำใจกับคนอื่น และการปลูกฝังตั้งแต่เด็กย่อมง่ายกว่าที่จะมาหัดกันตอนโตอยู่แล้ว และขณะเดียวกันควรพาคนใกล้ชิดที่ใกล้ตัวเริ่มเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน เพราะการเริ่มทำสิ่งที่ดีพร้อมกันหลายๆ คนย่อมนำพาไปสู่ความสำเร็จได้ง่ายกว่า และปกติการมีเพื่อนไปทำสิ่งใดๆ ด้วยกันย่อมที่จะทำให้รู้สึกสนุกมากกว่าทำคนเดียวอยู่แล้ว

เขาว่ากันว่า 'ความดีนั้นทำยาก ความชั่วทำง่าย' ซึ่งความจริงชีวิตนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและสำเร็จออกมาได้โดยง่ายหรอก แต่คุณค่าของความยากที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เพียงแต่คุณคนเดียวที่จะได้รับ คุณทำดีหนึ่งคน คนหมู่มากก็ได้รับด้วย เช่นเดียวกันคุณทำไม่ดีหนึ่งคน คนหมู่มากก็ได้รับด้วยเช่นกัน แต่อันไหนล่ะที่จะทำให้สังคมนั้นอยู่อย่างมีความสุขกว่ากัน

ขอบคุณ Slim Up magazine