เด็กเรียนเก่ง เกรดสูง ไม่สามารถเป็นดัชนี ชี้ความสามารถในชีวิตการทำงานจริงได้

เขียนโดย 


บริษัทนวัตกรรมระดับโลกอย่าง Google เขาเลือกคนประเภทไหนเข้าทำงาน? เด็กเรียนเก่งสอบได้คะแนนสูงไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนทำงานดีเสมอไป และกูเกิลบอกว่าเกรดสูงของ นักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัย ไม่สามารถเป็นดัชนี ชี้ความสามารถในชีวิตการทำงานจริงได้


คะแนนดีไม่ใช่จุดอ่อนแน่นอน แต่บริษัทที่ต้องการ คนทำงานคล่องแคล่วและสร้างสรรค์ เขาไม่ได้มอง ที่เกรดการสอบอีกต่อไปแล้ว..แผนกทรัพยากรบุคคลของกูเกิลเขาไม่เรียก Human Resources หรือ HR แต่ตั้งชื่อให้ใกล้ความจริง แบบพื้น ๆ เข้าใจง่าย ๆ ว่า People Operations ซึ่งหมายถึงเรื่อง “คน” ดี ๆ นี่เองนั่นแหละ รองประธานฝ่าย “คน” ของเขาชื่อ Laszlo Bock ซึ่งให้สัมภาษณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า จำนวนคนเข้ามาทำงาน ที่กูเกิลโดยไม่ได้จบมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นทุกปี ล่าสุดสูงถึง 14% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดแล้ว
 
คุณสมบัติข้อที่หนึ่งสำหรับคนที่จะได้รับเข้าทำงานกูเกิลคือ “ความสามารถในการเรียนรู้” ซึ่งไม่เกี่ยว กับไอคิวหรือความฉลาดเฉลียวความสามารถในการเรียนรู้ในที่นี้หมายถึงการจับ เอาข้อมูลหลาย ๆ อย่างมาผสมผสานก่อเป็นความรู้ในการทำงานให้สำเร็จได้เด็กเรียนเก่งแต่ไม่สามารถนำมา ใช้ในชีวิตจริง หยิบเอารายละเอียดจากแต่ละเรื่องที่อาจดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน มาโยงให้เป็นองค์ความรู้เพื่อแก้ปัญหาได้นั่นแหละคือคนทำงานเป็นคุณสมบัติข้อที่สองคือ “ความเป็นผู้นำ” ในความหมาย ของโลกยุคใหม่ ไม่ใช่นิยามเก่า เช่นไม่จำเป็นต้อง เป็นประธานชมรม ไม่ต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มไหนในมหาวิทยาลัยมาก่อนรองประธานฝ่าย “คน” ของกูเกิลบอกว่า “คำว่าผู้นำของเราหมายความว่าเมื่อเกิดปัญหา คุณเป็นสมาชิก ของทีมนั้น เมื่อได้จังหวะเวลาอันเหมาะสม คุณจะ สามารถก้าวออกมานำคณะได้หรือไม่ และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือว่า เมื่อถึงเวลานั้น คุณสามารถถอยหลัง และหยุดการเป็นหัวหน้าทีมและปล่อยให้คนอื่นนำได้หรือไม่?”

หมายความว่าการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ นั้น จะต้องมีความพร้อมที่จะยอมสละอำนาจในจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วยแปลว่าคุณต้อง เก่งพอที่จะยอมรับว่าในเรื่องนั้น ๆ อีกคนหนึ่งเก่งกว่าคุณและคุณพร้อม จะให้เขาหรือเธอนำเขาเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “ความถ่อมตนทางปัญญา” (intellectual humility) เพราะหากคุณไม่มี ความเจียมตน, คุณก็ไม่สามารถจะเรียนรู้อะไรได้ผลสำรวจหลายชิ้นยืนยันตรงกันว่า คนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ๆ จำนวนไม่น้อยเติบโตใน หน้าที่งานการไม่ได้ เพราะทัศนคติผิด ๆ ที่ว่าตนเก่ง กว่าคนอื่น “หนุ่มสาวที่ฉลาดและประสบความสำเร็จมักจะไม่ค่อยเจอกับความล้มเหลว และนั่นทำให้พวกเขาและเธอไม่อาจจะเรียนรู้จากความล้มเหลว”

ผู้บริหารกูเกิลคนนี้บอกเด็กจบมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงมักมีท่าทีต่อชีวิตที่ ผิด ๆ เช่นว่า “ถ้ามีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะฉันเป็นอัจฉริยะ แต่ถ้ามีอะไรแย่ ๆ เกิดขึ้น นั่นเป็นฝีมือของไอ้งั่งใครสักคนที่ไม่ใช่ฉัน หรือเป็น เพราะฉันไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอในการทำงานชิ้นนั้น หรือเพราะสภาพตลาดเปลี่ยนไปจากเดิม...”
 
คนที่กูเกิลชอบคือ คนทำงานที่มีความรักงาน ทุ่มเท พร้อมจะถกแถลงอย่างเผ็ดร้อนเพื่อยืนยันความคิดของตัวเอง แต่หากมีข้อมูลใหม่ที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน เขาหรือเธอก็จะยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่ออาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป และพร้อมจะถอยให้ข้อเท็จจริงใหม่ได้ กำหนดทิศทางของเรื่องนั้น ๆเรียกว่าไม่ใช่ประเภท หัวชนฝา, ดื้อรั้น, ไม่ยอมฟังความเห็นคนอื่น หรือพิจารณข้อเท็จจริงจากคนอื่นเลยคนดีคนเก่งที่ทำงานได้ผลจริงคือ คนที่มี “อัตตาใหญ่” และ “อัตตาย่อย” ในคนคนเดียวเขาสรุปว่าท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตจริงได้พิสูจน์ครั้งแล้ว ครั้งเล่าว่า ปริญญาบัตรไม่ได้เป็นใบรับรองความ สามารถที่จะทำงานได้ทุกอย่าง

โลกแห่งความเป็นจริงจะยอมรับก็เฉพาะคนที่รู้จักใช้สิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ให้ได้ผลทางปฏิบัติเท่านั้น และโลกก็ไม่สนใจว่าคุณเรียนรู้มาจากไหนหรือเรียนมาอย่างไร ขอให้รู้จริงและพร้อมจะเรียนรู้ใหม่ ๆ เป็นพอหรือจะพูดให้กระจ่างชัดก็คือ กูเกิลบอกว่าคนที่เขาจ้างมา ทำงานจะต้องมี soft skills เยอะ เช่น ความเป็นผู้นำ, ความถ่อมตน, ความสามารถในการประสานงานกับผู้อื่น, ความสามารถ และพร้อมจะปรับตัวและรักการเรียนรู้และเรียนใหม่โลกที่ปรับเปลี่ยนเพราะ เทคโนโลยีตลอดเวลา ต้องการให้มหาวิทยาลัยผลิตคนที่มีคุณสมบัติเยี่ยงนี้นี่เอง
 
เรียบเรียงโดย..Anusak Kongmalai
ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ วัน, วันที่ เดือน ปี ชม:นาที