การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน(ไฮโดรโพนิกส์) หมายถึงวิธีการปลูกพืชเพื่อให้พืชได้รับสารอาหารหรือสารละลายธาตุอาหารพืช ที่มีน้ำผสมกับแร่ธาตุที่ต้องการจากทางรากพืช โดยพืชที่ปลูกนั้นจะเป็นการปลูกลงวัสดุปลูกหรือโดยไม่ต้องมีวีสดุปลูกก็ได้
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินวัสดุที่จำเป็นสำหรับการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินที่ใช้กันทั่้วไป ได้แก่โรงเรือน ภาชนะและวัสดุที่ใช้ในการปลูก ปุ๋ยหรือธาตุอาหารพืชน้ำ ปั๊มน้ำ ระบบไฟฟ้า เมล็ดพันธุ์ พืชหรือกล้าพืชที่จะใช้ปลูก ฟองน้ำ โฟม เครื่องมือวัดค่า EC เครื่องมือวัดค่า pH ของน้ำ ถาดเพาะเมล็ด ถ้วยปลูก ในกรณีที่จะใช้ไม้ไผ่แทนวัสดุแนะนำให้ใช้ต้นไผ่ที่อายุแก่จัด เพื่อความยืดอายุการใช้งานค่ะ
ขั้นตอนการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน
1.จัดเตรียมชุดปลูกให้พร้อม โดยถาดปลูกจะเป็นระบบสำเร็จรูป ถอดประกอบได้ง่าย ให้ตั้งอยู่กลางแจ้งมีแสงแดด ประมาณวันละ
6-8 ชั่วโมง เช่น สนามหญ้าหน้าบ้าน หรือ ดาดฟ้า
2.จัดเรียงฟองน้ำในถาดเพาะ รดน้ำให้ชุ่มจากนั้นใส่เมล็ดพันธุ์ที่ต้องการในฟองน้ำ ใช้ผ้าคลุมปิดถาดเพาะหรือเก็บไว้ในที่มืด รดน้ำเช้าและเย็นรอจนเมล็ดพันธุ์งอก และพ้นฟองน้ำ(ประมาณ 2 วัน)
3.เปิดผ้าคลุมออกให้ต้นกล้าได้รับแสงแดด รดน้ำช่วงเช้าและช่วงเย็น ต่อไปอีก 5-7วันจนต้นกล้ามีใบเลี้ยงคู่และรากงอกจากฟองน้ำพร้อมสำหรับย้ายไปปลูก
4.ย้ายกล้าลงปลูก
การดูแลและรักษา
1.เติมน้ำสะอาดลงในถังน้ำ และเติมธาตุอาหาร A และ B ในอัตราส่วนเท่ากับที่ตามกำหนดไว้
2.คอยดูแลระดับน้ำในถัง ถ้ามีการเติมน้ำเพิ่มภายหลังจะต้องเติมธาตุอาหาร A แล ะ B ไปพร้อมกัน
3.ทุกครั้งที่เติมอาหารจะต้องวัดค่า EC โดยใช้เครื่องมือวัด(ค่า EC (electrical conductivity) คือค่าการนำไฟฟ้า เป็นค่าที่บอกความเข้มข้นของสารละลาย มีหน่วยเป็น มิลลิโมลต่อเซนติเมตร (mmho/cm) หรือมิลลิซีเมนส์ต่อเซนติเมตร (mS/cm) ถ้าค่า EC สูงแสดงว่าสารละลายมีความเข้มข้นสูง คือมีธาตุอาหารละลายอยู่มาก ค่า EC ในการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์จะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่และชนิดพืชปลูก )
4.น้ำที่ใช้ในการปลูก ควรมีความเป็นกรด-ด่าง ระหว่าง 5.0-6.5
5.หมั่นตรวจโรคและแมลงอย่างสม่ำเสมอ
คุณประโยชน์ของพืชที่ปลูกแบบไม่ใช้ดิน
1.สามารถปลูกพืชทื่ปลอดภัยจากสารพิษ
2.เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
3.เป็นการเสริมสร้างผักโภชนาการสูง
สูตรธาตุอาหาร อัตรา 1 : 100 EC 1.0 - 1.8 PH5.2 - 6.5
1.แคลเซี่ยมไนเครท 1,000 กรัม
2.เหล็กเรโซลิน เอ พี เอ็น 60 กรัม
STOCK B 10 ลิตร
1.โปแตสเซียมไนเตรท 600 กรัม
2.แมกนีเซียมซัลเฟต 500 กรัม
3.โมโนโปแตสเซียมฟอสเฟต 265 กรัม
4.นิคสเปรย์ 15 กรัม
ใช้อัตราส่วนที่แจ้งไว้น่ะค่ะ ผสมกับ น้ำ 10 ลิตร ถ้าจะปลูกไว้ทานเองในจำนวนไม่มากไม่ต้องใช้เครื่องตรวจวัดค่า EC ค่ะเพราะราคาสูงมากเพียงแค่ผสมสูตรอาหารให้อัตราส่วนเท่ากับตามที่กำหนดค่ะโดยจะมีวิธีผสมที่หลังซองค่ะ ถ้าทำเพื่อเป็นการค้าค่อยจัดหาเครื่องวัดค่า EC มาใช้ค่ะ
ข้อดี คือ
* ให้ผลผลิตที่สะอาด ถูกอนามัย ปลอดภัยจากสารพิษ เนื่องจากปลูกในโรงเรือนที่มีมุ้งตาข่ายปิดมิดชิดจึงไม่จำเป็นต้องใช้สาร เคมีในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช
* พืชเจริญเติบโตและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วกว่าการปลูกในดิน เนื่องจากพืชได้รับธาตุอาหารต่างๆ ครบถ้วนในสัดส่วนที่พอเหมาะและตลอดเวลาที่พืชต้องการ ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและรสชาติดี
* พืชที่ปลูกอยู่รอดมากขึ้น และให้ผลผลิตสูง เพราะสามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่ให้แก่พืชได้ดีกว่าปลูกในดิน ลดความเสี่ยงจากสภาพดินฟ้าอากาศไม่แน่นอน เช่น น้ำท่วม ฝนแล้ง
* ใช้พื้นที่น้อย เพราะปลูกพืชได้หนาแน่นกว่าปลูกในดิน และปลูกต่อได้ทันทีหลังจากเก็บเกี่ยวพืชชุดแรกแล้ว จึงสามารถปลูกได้หลายครั้งต่อปี
* ประหยัดค่าใช้จ่ายในการกำจัดวัชพืช
* ทดแทนการปลูกพืชในดินที่มีปัญหา เช่น ดินเค็ม ดินกรด ดินด่าง ดินที่ไม่เหมาะสมสำหรับปลูกพืช เช่น ดินลูกรัง ดินที่มีน้ำท่วมขังบ่อยครั้ง
* เหมาะสำหรับปลูกในสถานที่ที่มีพื้นผิวดินสำหรับปลูกพืชน้อย เช่น ระเบียงบ้าน หรือ คอนโดมีเนียม
* ปลูกได้ตลอดปี ไม่ต้องรอฤดูกาล สามารถเลือกปลูกพืชในช่วงที่มีราคาแพง ทำให้ผลผลิตได้ราคาดีขึ้น
* ใช้แรงงานในการดูแลน้อย
ข้อจำกัด คือ
ลง ทุนสูงในระยะแรก และต้องมีปัจจัยในการปลูกพืชในระบบนี้ คือ ไฟฟ้า น้ำ และธาตุอาหารที่พืชต้องการในรูปของสารเคมีอย่างไรก็ตาม การปลูกพืชในระบบไฮโดรโพนิคส์ ในปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมากสำหรับปลูกผักอนามัย และวิธีการปลูก วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ก็มีการพัฒนาให้สะดวกและทันสมัยมากขึ้น ตลาดของผักอนามัยในปัจจุบัน เริ่มมีผู้หันมานิยมบริโภคมากขึ้น การวางจำหน่ายผักที่ปลูกในระบบไฮโดรโพนิคส์ ปัจจุบันจะบรรจุถุงทั้งต้น โดยไม่ตัดรากและบางรายภาชนะปลูกที่ใช้พยุงต้นซึ่งเป็นกระถางพลาสติกโปร่ง ขนาดเล็กๆ ยังมีติดที่โคนต้นเป็นการยืนยันว่าเป็นผักที่ปลูกในระบบไฮโดรโพนิคส์จริง ๆ ปราศจากสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงแน่นอน
* ไม่มีโรคและแมลงศัตรูพืช
* ไม่ต้องใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช* ประหยัดน้ำและสารละลายธาตุอาหารพืช
* พืชโตเร็ว เก็บเกี่ยวได้เร็ว และให้ผลผลิตสูง
* สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูกได้ ทั้งนี้มีตัวเลขยืนยัน ดังนี้